1 / 20

แนะนำให้รู้จักกับ CSS (Cascading Style Sheets)

แนะนำให้รู้จักกับ CSS (Cascading Style Sheets). อ. นัฐพงศ์ ส่งเนียม http://www.siam2dev.com xnattapong@hotmail.com ม. ราชภัฏพระนคร. Cascading Style Sheets(CSS). Microsoft internet explorer 3.0 และ Netscape 4.0 เป็นต้นมา

zocha
Download Presentation

แนะนำให้รู้จักกับ CSS (Cascading Style Sheets)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. แนะนำให้รู้จักกับ CSS(Cascading Style Sheets) อ. นัฐพงศ์ ส่งเนียม http://www.siam2dev.com xnattapong@hotmail.com ม. ราชภัฏพระนคร

  2. Cascading Style Sheets(CSS) • Microsoft internet explorer 3.0 และ Netscape 4.0 เป็นต้นมา • เป็นวิธีการกำหนดการแสดงผลของสิ่งต่างๆบนเว็บเพจ เช่น การกำหนดลักษณะของ ลักษณะอักษรที่แสดง Heading ได้แก่ ฟอนต์ขนาดตัวอักษร สีอักษร รวมถึงสีพื้นหลังด้วย • ซึ่งคุณคงจะนึกออกว่าถ้าเราจะกำหนดลักษณะข้อความเช่นนี้เราต้องใช้ tag <font> ของ html นั่นเอง • ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ CSS แทน tag ต่างๆ ดังกล่าวของ htmlได้เลย

  3. เรากำหนดอะไรให้เอกสารด้วย CSS ได้บ้าง • ลักษณะการแสดงผลของข้อความ • การจัดตำแหน่งย่อหน้า(ขอบซ้ายขวาบนล่าง) • สีสรรของหน้า • ภาพฉากหลัง • กรอบ • ตาราง • การพิมพ์ • ลักษณะอื่น ๆที่ html ทำได้แต่ CSS สะดวกกว่า

  4. ประโยชน์ของ CSS • CSS มีคุณสมบัติมากกว่า tag ของ html เช่นการกำหนดกรอบให้ข้อความ รวมทั้งสีรูปแบบของข้อความที่กล่าวมาแล้ว • CSS นั้นกำหนดที่ต้นของไฟล์ html หรือตำแหน่งอื่น ๆ ก็ได้ และสามารถมีผลกับเอกสารทั้งหมด หมายถึงกำหนดครั้งเดียวจุดเดียวก็มีผลกับการแสดงผลทั้งหมดทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้สะดวกไม่ต้องไล่ตามแก้ tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร • CSS สามารถกำหนดแยกไว้ต่างหากจากไฟล์เอกสาร html และสามารถนำมาใช้ร่วมกับเอกสารหลายไฟล์ได้ การแก้ไขก็แก้เพียงจุดเดียวก็มีผลกับเอกสารทั้งหมดได้

  5. การกำหนดลักษณะใน CSS • ตำแหน่งของ CSS ในเอกสาร html จะอยู่ตำแหน่งใดก็ได้ มีหลายจุดก็ได้แต่ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่ต้นเอกสาร ในส่วน <head> ใน tag <style>..</style> หรือกำหนดแบบอื่น

  6. cascading style sheets ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วนคือ • Propertyคือคุณสมบัติของลักษณะที่จะกำหนดเช่น ลักษณะของสี ลักษณะของแบบอักษร เป็นต้น • Dotใช้สำหรับแยกระหว่าง property กับค่าหรือลักษณะของ property นั้น ๆ • Valueคือค่าหรือลักษณะของคุณสมบัติที่เรากำหนดให้แก่ property property และ value หลายอย่างสามารถกำหนดรวมกันไปได้โดยแยกแต่ละส่วนด้วย semi-colon รูปแบบ Property: value

  7. ตัวอย่าง • สมมุติเราต้องการกำหนดให้ฟอนต์เป็นสีน้ำเงินและใช้แบบอักษรเป็น sans-serif จะกำหนดได้ดังนี้ color:navy; font-family:sans-serif

  8. รูปแบบ • การกำหนดแต่ละลักษณะนั้นควรจะกำหนดชื่อหรือที่เรียกว่า selectors ซึ่งเราใช้อ้างถึงเวลาจะเรียกใช้ลักษณะที่กำหนดไว้นั้น ซึ่งเริ่มด้วย • ชื่อ(กำหนดได้เอง)+ วงเล็บปีกกา + ลักษณะที่กำหนด (แยกกันด้วย ";") • HTML-TAG {property1:value1; property2:value2; ...}

  9. เช่น เราต้องการกำหนดลักษณะของ <h1> เป็นมีขนาด 12 points ใช้ฟอนต์ sans-serifสามารถกำหนดได้ดังนี้ • h1 {font-size: 12pt; font-family:sans-serif}

  10. การกำหนดลักษณะหลาย ๆ อย่างไว้ใน style เดียวกัน • สามารถทำได้โดยจัดกลุ่มได้โดยแยกแต่ละชุดด้วย comma เช่น • h1 {font-family:sans-serif} h2 {font-family:sans-serif} h3 {font-family:sans-serif} h4 {font-family:sans-serif} • รวมกันได้เป็น • h1,h2,h3,h4 {font-family:sans-serif}

  11. นอกจากนี้คุณสามารถกำหนดลักษณะเป็นสัดส่วนเฉพาะในสไตล์ใดสไตล์หนึ่งได้โดยแยกลักษณะนั้นด้วย ช่องว่าง (space) แทน comma • เช่น เราต้องการเน้น ข้อความใน style <h1> โดยให้มีสีเป็นสีเขียวตัวเอนในระหว่าง tag <em>...</em> ก็ทำได้ดังนี้ • h1 em {color:green}

  12. ตัวอย่าง • h1 em {color:green} • เช่นเราพิมพ์ • cascading <em>style</em>sheets • ผลที่ได้จะเป็น cascading style sheets

  13. กำหนดลักษณะเป็นของคุณเองโดยใช้ classes • เราต้องการตัวเอนปกติเราใช้ <i>...</i>เราต้องการตัวหนาใช้ <b>...</b> ใน CSS อนุญาตให้เรากำหนดชื่อลักษณะตามที่เราต้องการได้ • เช่น กำหนด ชื่อลักษณะเป็น Myformat ก็สามารถทำได้โดย เริ่มด้วย "." (จุด)แล้วตามด้วยชื่อ แล้วตามด้วยลักษณะที่ต้องการกำหนด เช่นต้องการกำหนดให้ Myformat ทำหน้าที่ควบคุมให้แสดงข้อความสีแดง ก็ทำได้ดังนี้ • .Myformat {color=red}

  14. เมื่อนำ Class ไปใช้ก็ทำได้ดังนี้ • <p class="Myformat">ข้อความ</p> • คุณอาจจะสงสัยว่ากำหนดไปทำไมให้ยุ่งยากยาวกว่า<font color=red>....</font> เสียอีก • คำตอบก็คือ ทุกตัวที่กำหนดเป็น Myformat จะเป็นตัวอักษรสีแดงหมด ทั่วทั้งเอกสารที่กำหนดเป็น Myformat จะเหมือนกันลดความยุ่งยากเวลาจะแก้ไขสีก็แก้จุดเดียวที่กำหนดไว้นั่นเอง จะเห็นว่าไม่ต้องไล่หาแก้ทั่วทั้งเอกสารอย่าง html

  15. ตัวอย่างการนำไปใช้ • /* กำหนดให้ข้อความเป็นสีดำ*/ body { color:black;/* ให้สีฉากหลังข้อความเป็นสีขาว*/ background-color:white;/*ใช้ภาพ "sea.gif" เป็นฉากหลัง */ backgroundimage:url(http://samansk.cjb.net//images/sea.gif); /* กำหนดใช้ serifed font family */font-family:serif;} /*จบลักษณะของ body*/ • /* ระหว่างเครื่องหมายนี้เป็น comment ครับbrowser จะไม่นำไปตีความหมาย*//* Unvisited links are blue */a:link {color:blue}/* Visited links are purple */a:visited {color:purple} /* Active links are red */ a:active {color:red}

  16. การใช้ CSS ร่วมกับ htmlทำได้ 3 ลักษณะคือ แบบที่ 1 Inline styles • เช่น new "style=...." วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนักเพราะไม่ได้ลดความยุ่งยากมากนักยังคล้าย html อยู่ เช่น • <p style="color:red; font-family:sans-serif">ข้อความ </p> /* แบบ inline style*/ • .mywords {color:darkgreen; font-style:italic} /* แบบ inline class */

  17. แบบนี้ยุ่งยากเพราะเวลาแก้ไขหรือปรับปรุงต้องทำหลายจุดเหมือนเดิมยังวุ่นวายอยู่เวลาต้องการนำ style ไปกำหนดตำแหน่งต่างๆ ใช้ tag <div> และ <span> เช่น<span style"color:green"> ข้อความ </span> • การกำหนดลักษณะแบบนี้ทำได้ด้วย <div>และ<span>อย่างที่กล่าว ความแตกต่างระหว่างสองตัวนี้คือ <div> นั้นจะเว้นบรรทัดว่างก่อนและหลังข้อความ 1 บรรทัดครับซึ่งทั้งสองตัวนี้ใช้ได้กับทั้ง "style=" และ "class="

  18. แบบที่ 2 Document style • เช่น <style>...</style>แบบนี้ต้องกำหนดในส่วนของ <head>...</head>ซึ่งเวลาแก้ไขก็ทำที่นี่จุดเดียวทำให้สะดวกขึ้นมากเช่น <html> <head><title>document Title Here</title> <style TYPE="text/css"> <!-- /* ตัวอย่างเดิม- ซ่อนเพื่อไม่ให้ browserที่ไม่สนับสนุน CSS มีปัญหา*/ h1,h2,h3 {font-family: sans-serif; color: navy} /*แบบนี้เวลาแก้ แก้ที่นี่จุดเดียว*/--> /* จบการซ่อนที่ตรงนี้*/</style> </head> <body><h1>Heading in navy sans-serif text</h1> Other text here. </body> </html>

  19. แบบที่ 3 External style sheet • ลักษณะนี้กำหนด CSS ไว้อีกไฟล์หนึ่งต่างหากแล้วเรียกใช้ด้วย tag <link> ในส่วนของ <head> ของเอกสารเช่นกัน การใช้แบบนี้ทำให้ใช้ร่วมกันได้กับ html หลายไฟล์ แต่จุดเสียของมันก็คือทำให้ browser ต้องโหลดถึงสองไฟล์คือ html หนึ่งกับ CSS อีกหนึ่ง ถ้าไฟล์ CSS คุณเสียหรือโหลดไม่ได้ • Browser บางตัวก็จะไม่แสดงเอกสาร html ไปด้วย เช่นคุณเก็บ CSS ไว้ในไฟล์ชื่อshare.cssเวลาเรียกใช้ก็จะต้องใช้แบบนี้

  20. <html><head><title>Document Title Here</title><link REL="STYLESHEET" HREF="share.css" TYPE="text/css"> </head> <body> Document Body Here </body> </html>

More Related