1 / 39

Hyper Text

Hyper Text. ความเป็นมาของ Hypertext. ปี 1945 Vannevar Bush นักปราชญ์ด้านวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นเครื่องมือ MeMex (Memory Extender) ช่วยพัฒนาความทรงจำ ปี 1965 Engellart และ Ted Nelson จึงได้คิดค้นวิธีการนำเครื่องมือ MEMEX มาประยุกต์ใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ ในรูป HyperText

Download Presentation

Hyper Text

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. Hyper Text

  2. ความเป็นมาของ Hypertext • ปี 1945Vannevar Bush นักปราชญ์ด้านวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นเครื่องมือMeMex(Memory Extender) ช่วยพัฒนาความทรงจำ • ปี 1965Engellart และ Ted Nelson จึงได้คิดค้นวิธีการนำเครื่องมือMEMEX มาประยุกต์ใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ ในรูป HyperText • ปี 1985บ. ซีร๊อกซ์ได้คิดค้นวิธีการเชื่อมโยงด้วยรูปภาพ • ปี ค.ศ. 1978บ. แอปเปิ้ลแมคอินทอช ได้คิดค้นเครื่องมือที่เป็นซอฟต์แวร์ชื่อว่า“HyperCard”แบบ Obj ช่วยให้การสร้างเอกสารง่ายขึ้น • ปี ค.ศ. 1991 Tim Berners-Leeพัฒนา HTML และเป็นจุดตั้งต้นของ World Wide Web

  3. ความหมายของ Hypertext • ข้อความหรือกลุ่มของข้อความที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน โดยมีการนำเสนอแบบปฏิสัมพันธ์ (interaction) ด้วยการนำข้อความที่ใช้มาเป็นจุดเชื่อมโยง ซึ่งจะปรากฏในลักษณะที่เด่นกว่าข้อความอื่น เช่น การขีดเส้นใต้ การเน้นด้วยสี ตัวหนา หรือตัวเอียง เป็นต้น

  4. ระบบช่วยเหลือที่ใช้ข้อความหลายมิติระบบช่วยเหลือที่ใช้ข้อความหลายมิติ

  5. ประโยชน์ของการใช้งาน Hypertext • รูปแบบการนำเสนอ ให้ความตื่นเต้น • มีลักษณะของการสร้างสรรค์มากกว่า • สามารถเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่น ๆ ภายนอกได้ • สามารถสืบท่องไปยังเนื้อหา ตามต้องการได้ • มีความเป็นพลวัตร • สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ดูเอกสารบางส่วนก่อนที่จะทำกิจกรรมที่กำหนดได้

  6. ประโยชน์ของการใช้งาน Hypertext • เข้าถึงข้อมูลรายละเอียดได้อย่างรวดเร็ว • ผนวกซอฟท์แวร์อื่นๆ เข้าในการนำเสนอเอกสารได้ • เกิดความคงทนในการจดจำ มากกว่าเอกสารสิ่งพิมพ์ • เหมาะสมและสนับสนุนการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล

  7. รูปแบบของ Hypertext • แบบไม่มีโครงสร้าง(Unstructured Hypertext) • แบบมีโครงสร้าง(Structured Hypertext) • แบบเนื้อหาสัมพันธ์(Hierarchical Hypertext)

  8. แบบจำลองHypertext

  9. ตัวอย่างแบบจำลอง Hypertext • HAM (Hypertext Abstract Machine) • แบบจำลอง Dexter (Dexter’s Model) • แบบจำลองHAM (Amsterdam Hypermedia Model) • แบบจำลอง HDM (Hypermedia Design Model) • แบบจำลอง OOHDM (Object Oriented Hypermedia Design Model) • แบบจำลอง RMM (Relationship Management Methodology) ตัวอย่าง

  10. User Interface Application Tools Hypertext Abstract Machine Host File Systems ภาพแบบจำลอง Hypertext Abstract Machine (HAM)

  11. แบบจำลอง ham • ถูกนำเสนอโดย campbell และ goodman ในปี ค.ศ.1988 มีสาระสำคัญของแบบจำลองที่ได้นำเสนอนี้ เป็นส่วนของกรอบแนวความคิดในการจัดทำระบบบริหารจัดการสารสนเทศด้วยระบบข้อความหลายมิติ โดยอาศัยองค์ประกอบพื้นฐานทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ graph,content, node, link และ attribute โดยนำมาประมวลผลรายการ (transaction) เพื่อจัดเก็บสารสนเทศทั้งหมดไว้บนระบบไฟล์ของเครื่องแม่ข่าย และมีการใช้งานเป็นแบบ multi-user มีความใกล้เคียงกับ WWW

  12. ส่วนประกอบของ Hypertext • พอยน์ (Point) • คำ,วลี,ประโยค ที่ใช้เป็นจุดเชื่อมโยงไปยังข้อมูล • โนด (Nodes) • กลุ่มของข้อมูลที่สัมพันธ์กัน ซึ่งถูกจัดไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน • ลิงค์ (Link) • การเชื่อมโยงที่เปรียบเสมือนกาวที่เชื่อโยงไฮเปอร์เท็กซ์เข้าด้วยกัน • โครงสร้างไฮราคี่(Hierarchies Structure) • โครงสร้างแบบมีการเชื่อมโยงเป็นลำดับชั้น

  13. point • หมายถึง กลุ่มคำ หรือวลี ที่เป็นข้อความพิเศษที่แสดงว่ามีการเชื่อมโยงเกิดขึ้น โดยที่ข้อความเหล่านี้จะถูกแสดงในลักษณะที่ต่างกันออกไป ทำให้รู้ว่าเป็นพอยต์ เช่น การขีดเส้นใต้ การเน้นด้วยสี ตัวหนา หรือตัวเอียง หรือบางครั้งเรียกว่า “สมอเชื่อมโยง (link anchor)”

  14. ลักษณะของ point

  15. node • หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่สัมพันธ์กันหรือเป็นเรื่องเดียวกันซึ่งถูกจัดไว้เป็นกลุ่มเดียว ซึ่งภายในโหนดนั้นอาจมีพอยต์อยู่มากกว่าหนึ่งพอยต์ก็ได้ ความยาวของโหนดนั้นไม่สามารถระบุตายตัวได้บางครั้ง อาจมีความยาวเป็นหน้ากระดาษหรือกว่านั้น หรือจะมีความยาวเพียงไม่กี่บรรทัดก็ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเรื่องราวนั้นๆ ซึ่งในบางครั้งอาจเรียก โหนด ว่า “การ์ด (card)”

  16. จุดต่อ ลักษณะของ Node

  17. link • หมายถึง การเชื่อมโยงเอกสารจากต้นทางไปยังปลายทาง โดยมีกลไกภายในที่ช่วยนำทางไปยังเป้าหมายได้อย่างทั่วทั้งระบบข้อความหลายมิติ ทั้งที่เป็นแบบการเชื่อมโยงภายใน และแบบการเชื่อมโยงภายนอก จำแนกลิงค์ได้เป็น 3 ชนิด ประกอบด้วย • ลิงค์ชนิดอ้างถึง (referential link) • ลิงค์ชนิดแผนภูมิ (organization link) • ลิงค์ชนิดคีย์เวิร์ด (keyword link)

  18. ลิงค์ • ลิงค์ชนิดอ้างถึง (referential link) ใช้สำหรับเชื่อมโยงการอ้างถึงโดยตรงระหว่างจุดสองจุด ประกอบด้วยจุดเริ่มต้น (start point) และจุดสิ้นสุด (end point) เช่น ปุ่มหรือข้อความที่ลิงค์ไปข้างหน้า (forward) หรือย้อนกลับ (backward) • ลิงค์ชนิดแผนภูมิ (organization link) มีความคล้ายคลึงกับลิงค์ชนิดอ้างถึง จะแตกต่างกันที่เป็นการเชื่อมโยงระหว่างโหนดด้วยกันในลักษณะที่เป็นโครงสร้างไฮราคี่ • ลิงค์ชนิดคีย์เวิร์ด (keyword link) เป็นการนำกลุ่มคำหรือวลีต่างๆ ที่มีความหมายและสัมพันธ์ระหว่างกันมาเชื่อมโยงด้วยวิธีการเดียวกับการลิงค์ชนิดอ้างถึงหรือแผนภูมิ ลิงค์เหล่านี้ จะเป็นตัวบอกปลายทางของข้อมูลที่จะนำเสนอ

  19. จุดต่อ เชื่อมโยง เชื่อมโยง จุดต่อ จุดต่อ เชื่อมโยง ลักษณะของการ Link

  20. hierarchies structure • เป็นการผสมผสานของโครงสร้างระบบข้อความหลายมิติ 2 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ ชนิดที่ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน (unstructured hypertext) กับชนิดที่มีโครงสร้างแน่นอน (structured hypertext) โครงสร้างแบบนี้ สามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ • ชนิดจำกัดความสัมพันธ์ (strict hierarchy) • ชนิดไม่จำกัดความสัมพันธ์ (compromised hierarchy) • ชนิดซ้อน (overlapping hierarchy)

  21. จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ ลักษณะของข้อความหลายมิติแบบเนื้อหาสัมพันธ์ชนิดจำกัดความสัมพันธ์

  22. จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ ลักษณะของข้อความหลายมิติแบบเนื้อหาสัมพันธ์ชนิดไม่จำกัดความสัมพันธ์

  23. จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ จุดต่อ ลักษณะของข้อความหลายมิติแบบเนื้อหาสัมพันธ์ชนิดซ้อน

  24. presentational adaptation • วิธีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นข้อมูลได้อย่างทั่วถึงและเข้าถึงข้อมูลได้ตรงประเด็นมากที่สุด โดยมีเทคนิคในการนำเสนอทั้งหมด 5 วิธี ประกอบด้วย • conditional text • stretch text • page variants • fragment variants • frame-based

  25. conditional text • เป็นวิธีการแสดงกลุ่มของข้อความหรือตัวอักษรที่กำหนดเงื่อนไขตามประเภทของผู้ใช้ ทั้งที่มีทักษะและไม่มีทักษะในการใช้งานมาก่อน กล่าวคือ การนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับผู้ใช้ที่มีทักษะมาก่อนจะมีรายละเอียดมากกว่าการนำเสนอข้อมูล (เพียงบางส่วน) ให้กับผู้ใช้ที่ไม่เคยมีทักษะมาก่อนเลย

  26. ข้อความหรือตัวอักษรที่นำเสนอข้อความหรือตัวอักษรที่นำเสนอ Aaaaaa aaaaaa aaaaaa aaaaaa aaa Aaaaaa aaaaaa aaaaaa Aaaaaa aaaaaa แสดงข้อความทั้งหมดสำหรับผู้มีทักษะ แสดงข้อความเกือบทั้งหมดสำหรับผู้มีทักษะบ้าง แสดงข้อความเพียงบางส่วนสำหรับผู้ไม่มีทักษะเลย รูปแบบข้อความมีเงื่อนไข

  27. stretch text • เป็นวิธีการแสดงคำอธิบายของข้อความที่ต้องการขยายความ แทนที่จะต้องแสดงข้อความของคำอธิบายเดียวกันนี้ไปไว้อีกหนึ่งหน้าเอกสารโดยไม่จำเป็น เพียงแต่คลิกที่ข้อความที่ได้ทำการเชื่อมโยงไว้ ก็จะปรากฏคำอธิบายภายในกรอบสี่เหลี่ยมขึ้นมา เรียกกันโดยทั่วไปว่า “เมนูป็อปอัพ (menu popup)”

  28. รูปแบบข้อความขยายหรือรายการเลือกแบบผุดขึ้นรูปแบบข้อความขยายหรือรายการเลือกแบบผุดขึ้น

  29. page variants • เป็นวิธีการแสดงหน้าเอกสารที่มีจำนวนมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป โดยแต่ละหน้าเอกสารจะแสดงข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน ตามแต่ระดับของความแตกต่างหรือรูปแบบที่ใช้งาน โดยระบบจะแสดงหน้าเอกสารที่เหมาะสมให้กับผู้ใช้ได้เลือกใช้งาน

  30. ข้อความหรือตัวอักษรที่นำเสนอข้อความหรือตัวอักษรที่นำเสนอ ชุดเอกสาร ก แต่ละหน้าบรรจุข้อความที่แตกต่างกัน ชุดเอกสาร ข แต่ละหน้าบรรจุข้อความที่แตกต่างกัน รูปแบบการแปรหน้า

  31. การนำรูปแบบการแปรหน้ามาประยุกต์ใช้ในโปรแกรม FrontPage

  32. fragment variants • เป็นวิธีการแยกส่วนของหน้าเอกสาร ซึ่งทุกหน้าจะถูกแยกออกเป็นส่วนๆ ตามจำนวนที่ต้องการ พร้อมกับบรรจุข้อมูลลงไปในแต่ละชิ้นส่วน โดยที่ระบบจะแสดงข้อมูลภายในของชิ้นส่วนนั้นๆ ให้กับผู้ใช้

  33. หน้าเอกสารแสดงข้อความหน้าเอกสารแสดงข้อความ ส่วน ก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน หน้าเอกสาร ส่วน ข แบ่งออกเป็น 2 ส่วน หน้าเอกสาร ส่วน ค แบ่งออกเป็น 4 ส่วน หน้าเอกสาร รูปแบบการแปรส่วน

  34. การนำรูปแบบการแปรส่วนมาประยุกต์ใช้ในโปรแกรม FrontPage

  35. frame-based • เป็นวิธีการแบ่งช่อง (เฟรม) ของหน้าเอกสาร โดยกำหนดพื้นที่ของหน้าเอกสารออกเป็นเฟรมๆ เพื่อใช้แสดงข้อมูลของเอกสารปลายทางตามที่ได้เชื่อมโยงไว้ ให้มาปรากฏอยู่ภายในช่องตามที่ต้องการ

  36. หน้าเอกสาร ก แบ่งออกเป็น 4 กรอบ หน้าเอกสาร ข แบ่งออกเป็น 3 กรอบ กรอบเชื่อมโยงแบบเร็ว กรอบหัวเรื่อง กรอบหัวเรื่อง กรอบนำเสนอ กรอบเชื่อมโยงแบบเร็ว กรอบนำเสนอ กรอบหมายเหตุ รูปแบบกรอบ

  37. การนำรูปแบบกรอบมาประยุกต์ใช้ในโปรแกรม FrontPage

  38. บรรณนานุกรม • rbu.rbru.ac.th/~bangkom/mm04.ppt • cptd.chandra.ac.th/mul/multimedia4.ppt • pirun.ku.ac.th/~g5166307/work/html/indexhtml.htm • www.slideshare.net/kanokratpam/4-4717595 • www.angelfire.com/la/tunjai/1118.html • www.science.rbru.ac.th/~bangkom/mm04.ppt

  39. 1.นางสาวรัตน์สุดา ทองทา เลขที่ 7 2.นางสาววิชุดา สังฆะพรม เลขที่ 19 นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ห้อง ข สมาชิก

More Related