1 / 41

Verb Expansion

Verb Expansion. Adverbs. Adverb หรือที่เราเรียกเป็นภาษาไทยว่า กริยาวิเศษณ์ นั้นคือคำใช้ขยายหรือเป็นคำที่ประกอบสำหรับคำชนิดต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ได้ความหมายชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น. tyPes of adverbs. Adverbs of Time.

upton-wong
Download Presentation

Verb Expansion

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript

  1. Verb Expansion

  2. Adverbs • Adverbหรือที่เราเรียกเป็นภาษาไทยว่า กริยาวิเศษณ์ นั้นคือคำใช้ขยายหรือเป็นคำที่ประกอบสำหรับคำชนิดต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ได้ความหมายชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

  3. tyPesof adverbs

  4. Adverbs of Time • Adverbs of Time คือคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา เป็นคำซึ่งใช่บ่งบอกถึงเหตุการณ์ต่างๆว่าเกิดขึ้นเมื่อไรหรือ ใช้เวลานานเท่าใด ยกตัวอย่างคำเช่น after (หลังจาก) already (เรียบร้อยแล้ว) before (ก่อน) early (เร็วกว่า,แต่เช้า,ตอนต้น) eventually (ในขั้นสุดท้าย,ท้ายที่สุด)

  5. every week (ทุกๆสัปดาห์) finally (ในที่สุด) immediately (โดยกระทันหัน,โดยทันที,เดี๋ยวนี้) just (เพิ่ง,เพิ่งจะ) last (ครั้งสุดท้าย,หลังสุด) next (ถัดไป) now (ตอนนี้) once (ครั้งเดียว,หนหนึ่ง)

  6. recently (เมื่อเร็วๆนี้) sometime (แต่ก่อน) soon (ในเร็วๆนี้) still (ยังคง) then (เวลานั้น, หลังจาก,นอกจากนี้) today (วันนี้) tonight  (คืนนี้) yesterday (เมื่อวาน) this year (ปีนี้)

  7. การใช้งานและตำแหน่งการวาง Adverbs of Time •  1. โดยส่วนมากนิยมวาง Adverbs of Time ไว้ตรงท้ายประโยคยกตัวอย่างเช่น I will go to the party tomorrow. (ฉันจะไปงานปาร์ตี้พรุ่งนี้) Tim works so hard today. (ทิมทำงานหนักมากวันนี้) •  2. เราสามารถย้ายตัว Adverbs of Time มาวางหน้าประโยคโดยที่ความหมายเหมือนเดิม และต้องมีคอมม่า“’,” เป็นตัวกั้นยกตัวอย่างเช่น Immediately, he shouts at me. (ทันทีทันใดนั้น เขาได้ตะโกนใส่ฉัน)

  8. 3. คำบางคำใน Adverbs of Time บางคำ เช่น now, then, once, finally, eventually นั้นสามารถที่จะวางหน้าคำกริยาได้ยกตัวอย่างเช่น I eventually discover the solution for this complex question. (ในท้ายที่สุดฉันก็พบวิธีแก้ไขสำหรับคำถามที่ซับซ้อนข้อนี้) • 4. ข้อยกเว้นสำหรับคำว่า just กับ still เราจะต้องวางคำนี้ไว้หน้าหรือหลังกริยาหลัก ยกตัวอย่างเช่น She is still sleeping. (เธอกำลังนอนอยู่) I just watch TV. (ฉันเพิ่งที่จะดูโทรทัศน์)

  9. Adverbs of Frequency • Adverbs of Frequency คือ คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ เราจะใช้คำดังกล่าวนี้ในการ บ่งบอกถึงความถี่ของเหตุการณ์ต่างๆว่ามีมากน้อยขนาดไหนซึ่งคำ Adverbs of Frequency ที่เรามักพบเห็นกัน เช่น always (เป็นประจำ, อย่างสมํ่าเสมอ) often (บ่อยๆ) frequently( บ่อยๆ) usually (โดยปกติ) sometimes (บางครั้ง) mostly (โดยส่วนใหญ่) normally (โดยปกติแล้ว) generally (โดยทั่วไป)

  10. คำบางคำของ Adverbs of Frequency เป็นคำที่มีความหมายเป็นเชิงปฏิเสธเช่น seldom (ไม่ค่อยจะ, นานๆครั้ง) hardly (แทบจะไม่) barely (แทบจะไม่) rarely (แทบจะไม่) scarcely (แทบจะไม่) never (ไม่เคย)

  11. การใช้งานและตำแหน่งการวาง Adverbs of Frequency 1. ถ้าประโยคนั้นมีverb to beหรือverb to haveให้วาง Adverbs of Frequency ไว้หลัง verb to be หรือ verb to have ยกตัวอย่างเช่น I am always happy. (ฉันเป็นคนที่มีความสุขเสมอ) He has never worked in the hospital. (เขาไม่เคยทำงานในโรงพยาบาลเลย)

  12. 2. ถ้าประโยคนั้นมีกริยาหลัก (Main Verb) ให้วาง Adverbs of Frequency ไว้หน้ากริยาหลัก (Main Verb) นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น Tony sometimes travels to Paris. (โทนี้ท่องเที่ยวไปปารีสเป็นบางครั้งบางคราว) 3. ในประโยคคำถาม ให้เราวาง Adverbs of Frequency ไว้หน้ากริยาหลัก (Main Verb) ยกตัวอย่างเช่น Does he always work on weekend? (เขานั้นทำงานช่วงวันหยุดหรือไม่)

  13. Adverbs of Place • Adverbs of Place คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บ่งบอกสถานที่ว่าอยู่ที่ไหน ยกตัวอย่างคำเช่น upstairs (ชั้นบน) downstairs (ชั้นล่าง) inside (ข้างใน) outside (ข้างนอก) outdoors (นอกบ้าน,ภายนอก) indoors (ในร่ม,ในบ้าน)

  14. here (ที่นี้) there (ที่นั่น) somewhere (ที่ใดที่หนึ่ง) nowhere (ไม่มีที่ไหน) everywhere (ทุกหนทุกแห่ง) anywhere (ที่ไหนๆก็ได้) abroad (ต่างประเทศ) overseas (ต่างประเทศ)

  15. การใช้งานและตำแหน่งการวาง Adverbs of Place 1.วางไว้ท้ายกริยาแท้ (Main Verbs) หรือ กรรม (object) ของประโยคยกตัวอย่างเช่น I work overseas. (ฉันทำงานเมืองนอก) I see her downstairs. (ฉันเห็นเธอที่ชั้นล่าง) 2.เราสามารถนำคำเหล่านี้มาวางข้างหน้าโดยมีคอมม่า“,” คั่นยกตัวอย่างเช่น Anywhere, you can go. (คุณสามารถไปที่ไหนๆก็ได้)

  16. Adverbs of Manner • Adverbs of Mannerคือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บ่งบอกถึง คุณภาพ อาการ สถานะ ท่าทาง ลักษณะต่างๆของการกระทำ คำที่เป็น Adverb of Manner ได้แก่ actively = อย่างกระฉับกระเฉง aggressively = อย่างรุนแรง beautifully = อย่างสวยงาม carefully = อย่างระมัดระวัง completely = อย่างสมบูรณ์ consciously = อย่างมีสติ easily = อย่างง่ายดาย fast = อย่างรวดเร็ว

  17. หลักการใช้งาน Adverbs of Manner 1. สามารถวางหน้าหรือหลังกริยาที่ต้องการขยายโดยที่ความหมายคงเดิมยกตัวอย่างเช่น She drives carefully every time. หรือ She carefully drives every time. (เธอขับรถอย่างระมัดระวังทุกครั้ง) 2. เราสามารถนำ Adverb of Manner นั้นมาวางหน้าประโยคก็ได้ยกตัวอย่างเช่น Easily, he completes this task. (เขาทำงานนี้เสร็จอย่าง่ายดาย)

  18. 3. ถ้าในประโยคนั้นเป็น Passive Voice เรามักวาง Adverbs of Manner หน้าคำกริยาหลักยกตัวอย่างเช่น This report is well written. (รายงานฉบับนี้ได้ถูกเขียนอย่างดีเยี่ยม) 4. ใช้คำ Adverbs of Manner วางไว้หน้า adjective เพื่อทำการขยาย adjective ยกตัวอย่างเช่น This answer is obviously wrong. (คำตอบนี้ผิดอย่างชัดเจน) 5. ถ้าประโยคนั้นมีกรรม นิยมวางคำไว้หลังกรรมยกตัวอย่างเช่น He speaks Chinese fluently. (เขาพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว)

  19. Adverbs of Negation and Affirmation คำวิเศษณ์ชนิดนี้ ใช้แสดงความมั่นใจของเราในบางสิ่ง โดยมีคำต่อไปนี้ • No not yes perhaps maybe possibly certainly surely indeedetc. Example : Madonna will certainly come to see you. This letter is important indeed. She possibly resigned from her jobs today. He did not come here

  20. Adverb of Interrogation • จะใช้คำวิเศษณ์เหล่านี้ในประโยคคำถาม • When where why how Example : Whenyour friends arrive? They will arrive tomorrow.(adverb of time) Wheredo you hold the meeting? I hold the meeting in a hotel. (adverb of place) Howdoes she speak? She speaks slowly. (adverb of manner)

  21. Adverb of Degree • ใช้คำวิเศษณ์ชนิดนี้ในการขยาย คำคุณศัพท์ (Adjective) และคำวิเศษณ์ (Adverb) เพื่อแสดงระดับของคำคุณศัพท์ หรือคำวิเศษณ์ ได้แก่คำต่อไปนี้ • Very much rather so too quite almost just only Example : I love you very much. This is a quite good restaurant. Almost all students join the party.

  22. Series of Adverb

  23. Prepositional Phrase • Prepositional Phrases(บุพบทวลี)คือ วลีที่ขึ้นต้นด้วยคำบุพบท มีโครงสร้างของวลีคือ คำบุพบท (preposition)+ส่วนเสริม(complement)ซึ่งส่วนเสริมนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ… 1. ทำหน้าที่ขยายประธานของประโยค โดยวางอยู่หลัง Verb to be หรือ linking verb (กริยาเชื่อม) เช่น Ex. Samantha is in the hospital.  They are in the meeting room.

  24. 2. ทำหน้าที่ขยายนามวลี (Noun phrase) โดยอยู่ข้างหลัง นามวลี Noun phrase นั้นๆ เช่น  Ex. I put stamp on the envelopes. Jane took a course in advanced mathematics. 3. ทำหน้าที่ขยาย adjective โดยวางข้างหลัง adjective นั้นๆ เช่น  Ex. They are aware of AIDS virus. They are aware of the danger of the AIDS virus. 4.ทำหน้าที่ขยายประโยค เช่น  Ex. In my opinion, Thailand is the best country for travelling. 

  25. รูปแบบการใช้ Prepositional Phrase มี 4 ลักษณะ ได้แก่ Telling Where Telling When Telling How Telling Why

  26. 1. Telling Where Ex. A burglar enteredintothe house. I am standing in front of you. 2. Telling When Ex. My father will come on Sunday. I will meet you after the class.

  27. 3. Telling How Ex. The prime Minister goes to Chiang Mai by plan. We cut the birthday cake with a knife.4. Telling why Ex. My student come here for a book. I have to work hard for my brighter future.

  28. Adverb Clause • Adverb Clause (วิเศษณานุประโยค) คือประโยคนั้นทั้งประโยคทำหน้าที่เหมือน Adverb (กริยาวิเศษณ์)ทั่วๆไป เพื่อทำหน้าที่ขยายกริยาในประโยคหลัก(Main Clause) ซึ่ง Adverb Clause แบ่งออกเป็น 9 ชนิด คือ

  29. 1. Adverb Clause ที่แสดงลักษณะอาการ (Manner) จะขึ้นต้นด้วยคำว่า as, as if, as though. Ex. In Krabi, we can enjoy the beach as we used to in Pattaya. • 2. Adverb Clause ที่แสดงสถานที่ (Place) จะขึ้นต้นด้วยคำว่า where, wherever, as far as, as near as. Ex. I prefer to live where the people are nice and friendly.

  30. 3. Adverb Clause ที่แสดงเวลา (Time) จะขึ้นต้นด้วยคำว่า when, while, since, as, before, after, until, as soon as, as long as, all the time(that). Ex. After it had stopped raining, I went outside. • 4. Adverb Clause ที่แสดงเหตุผล (Reason) จะขึ้นต้นด้วยคำว่า because, as, since, seeing, that, now that. Ex. My brothers are studying in Nottingham because they don’t like snow.

  31. 5. Adverb Clause ที่แสดงความมุ่งหมาย (Purpose) จะขึ้นต้นด้วยคำว่า so as, in order that, for the purpose, that, for fear that. Ex. I want to be near the beach so that I might learn to dive. • 6. Adverb Clause ที่แสดงการยอมรับ (Concession) จะขึ้นต้นด้วยคำว่า although, thought, even thought, even if. Ex. Although Stirling is a beautiful city, I just don’t like cold weather.

  32. 7. Adverb Clause ที่แสดง การเปรียบเทียบ(Comparison)จะขึ้นต้นด้วยคำว่า as + Adjective + as, as + Adverb + as, not so + Adjective + as, not so + adverb + as. • 8. Adverb Clause ที่แสดง เงื่อนไขหรือสมมติ(Condition)จะขึ้นต้นด้วยคำว่า if, if only, unless, whether, supposing that, provided that, on condition that, in case. Ex. If they keep the room clean, I will stay with them. • 9. Adverb Clause ที่แสดงผล(Result)จะขึ้นต้นด้วยคำว่า so that, so….that, such….that, so…as to. Ex. Competition is so intense that only the fittest can survive.

  33. Participial Phrase • Participial Phrase เป็นกลุ่มคำที่ใช้ขยายคำนามให้มีความหมายชัดเจนขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Present participial phrase Past participial phrase

  34. Present Participial Phrase 1) รูปเป็นกลุ่มคำที่มี V-ingเป็นคำหลัก มีความหมายว่า ‘ ที่ ' หรือ ‘ ซึ่ง ' เช่น         working full-time and studying at MJU ( ที่ทำงานเต็มเวลาพร้อมๆกับศึกษาที่ ม.แม่โจ้)         majoring in English (ที่เรียนเอกภาษาอังกฤษ)

  35. 2) หน้าที่ ใช้ขยายคำนามข้างหน้า เพื่อระบุให้ชัดเจนว่า คำนามนั้นหมายถึงใครหรือสิ่งใด รูป V-ingบอกให้รู้ว่า คำนามที่อยู่ข้างหน้าทำอาการตามความหมายของ V-ingด้วยตัวเอง ความหมายเป็น active voice Our employee working full-time and studying at MJU. (พนักงานของเราคนที่ทำงานเต็มเวลาพร้อมๆกับศึกษาที่ ม.แม่โจ้) Students majoring in English (นักศึกษาที่เรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ)

  36. จะเห็นได้ว่า present participial phrase จะขยายคำนามหรือสรรพนามที่สามารถ ทำกริยาที่อยู่ในรูป - ing แต่คำกริยาหลักจะเป็นตัวที่ผันรูปไปตามประธานOur employee working full-time and studying at MJUhas been promoted. Studentsmajoring in English communicate with foreigners fluently.

  37. Past Participial Phrase 1)  รูปเป็นกลุ่มคำที่มี V3 เป็นคำหลัก เช่นimported from Germany ( นำเข้าจากเยอรมัน)produced by Bangkok Hospital ( ผลิตขึ้นโดย รพ. กรุงเทพ)      cooked with different kinds of Thai herbs (ปรุงขึ้นด้วยสมุนไพรหลายชนิด)

  38. 2) หน้าที่ใช้ขยายคำนาม เพื่อระบุให้ชัดเจนว่า คำนามนั้นหมายถึงใครหรือสิ่งใด ที่ได้รับผลของการกระทำ มีความหมายเป็น passive voice cars imported from Germany  (รถยนต์ที่นำเข้าจากเยอรมัน) hair care products produced by Bangkok Hospital (ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ผลิตขึ้นโดย รพ. กรุงเทพ) KhaoYum Puk Tai cooked with different kinds of Thai herbs (ข้าวยำปักษ์ใต้ที่ปรุงขึ้นด้วยสมุนไพรหลายชนิด)

  39. Past participial phrase จะขยายคำนามหรือสรรพนามที่ระบุว่าใครหรือสิ่งใดที่ได้รับผลของการกระทำ แต่คำกริยาหลักของประโยคจะเป็นตัวที่ผันรูปไปตามประธาน Cars imported from Germany are expensive. ในประโยคนี้ คำนาม (ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน) คือ Cars ส่วนขยาย คือ imported from Germanyและคำกริยาแท้ คือ are

  40. I like hair care productsproduced by Bangkok Hospital. ในประโยคนี้ คำนาม คือ hair care productsส่วนขยาย คือ produced by Bangkok Hospitalและคำกริยาแท้ คือ like

  41. Khao Yum Puk Taicooked with different kinds of Thai herbs is my favorite Thai dish. ในประโยคนี้ คำนาม คือ Khao Yum Puk Tai ส่วนขยาย คือcooked with different kinds of Thai herbsและคำกริยาแท้ คือ is

More Related