1 / 42

นโยบายเศรษฐกิจทางเลือกในประเทศกำลังพัฒนา

นโยบายเศรษฐกิจทางเลือกในประเทศกำลังพัฒนา. สฤณี อาชวานันทกุล Fringer | คนชายขอบ http://www.fringer.org/ ปรับปรุงจากชุดสไลด์ที่นำเสนอในงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “ นโยบายเศรษฐกิจทางเลือกภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่: บทสำรวจองค์ความรู้ และประสบการณ์ ”

tilly
Download Presentation

นโยบายเศรษฐกิจทางเลือกในประเทศกำลังพัฒนา

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. นโยบายเศรษฐกิจทางเลือกในประเทศกำลังพัฒนานโยบายเศรษฐกิจทางเลือกในประเทศกำลังพัฒนา สฤณี อาชวานันทกุล Fringer | คนชายขอบ http://www.fringer.org/ ปรับปรุงจากชุดสไลด์ที่นำเสนอในงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “นโยบายเศรษฐกิจทางเลือกภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่: บทสำรวจองค์ความรู้ และประสบการณ์” วันที่​ 29 ​พฤษภาคม 2551 จัดโดย โครงการส่งเสริม พัฒนาและเผยแพร่ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์เพื่อการพัฒนา ศูนย์ศึกษานโยบายเพื่อการพัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) • งานนี้เผยแพร่ภายใต้ลิขสิทธิ์ Creative Commons แบบ Attribution Non-commercial Share Alike (by-nc-sa) โดยผู้สร้างอนุญาตให้ทำซ้ำ แจกจ่าย แสดง และสร้างงานดัดแปลงจากส่วนใดส่วนหนึ่งของงานนี้ได้โดยเสรี แต่เฉพาะในกรณีที่ให้เครดิตผู้สร้าง ไม่นำไปใช้ในทางการค้า และเผยแพร่งานดัดแปลงภายใต้ลิขสิทธิ์เดียวกันนี้เท่านั้น

  2. หัวข้อนำเสนอ • นโยบายพัฒนาในอุดมคติ • นโยบายพัฒนาที่ตั้งอยู่บนความสุข : กรณีภูฏาน • บทบาทของอิสลามในการพัฒนา • นโยบายประชานิยมในละตินอเมริกา

  3. นโยบายพัฒนาในอุดมคติ

  4. GDP เป็นองค์ประกอบเดียวของ “ความสุข” ที่มา: Deutsche Bank Research, 2007

  5. ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ความจำเป็นของ “ทางเลือก” ที่มา: Carol King, “Will we always be more capable in the future?”; Worldchanging.com - http://www.worldchanging.com/archives/007962.html

  6. เหตุใดจึงควรคำนึงถึง “ความยุติธรรมทางสังคม” • การเติบโตของเศรษฐกิจที่มี “ฐานกว้าง” นั่นคือ เติบโตในทางที่คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ในทางที่ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในมือชนชั้นนำนั้น เป็นการเติบโตที่ทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น และเอื้ออำนวยต่อกระแสประชาธิปไตย ซึ่งจะผลักดันให้คนในสังคมรู้จักอดทนอดกลั้นต่อความคิดเห็นที่แตกต่าง แทนที่จะทะเลาะเบาะแว้งจนนำไปสู่ความรุนแรง หรือถูกกดขี่โดยผู้ครองอำนาจ • การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ “ดี” ที่มีฐานกว้าง จึงช่วยให้สังคมมีระดับ “คุณธรรม” สูงขึ้นกว่าเดิม และระดับคุณธรรมที่สูงขึ้นนั้นก็จะทำให้สังคมยั่งยืน มีสันติสุขและเสถียรภาพมากกว่าในสังคมที่ความเจริญกระจุกตัวอยู่ในมือคนเพียงไม่กี่คน

  7. ลักษณะของนโยบายพัฒนาในอุดมคติลักษณะของนโยบายพัฒนาในอุดมคติ • ตั้งเป้าหมายที่การส่งเสริมและดำรง “ความอยู่ดีมีสุข” ของประชาชนในสังคม • ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน • “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Sustainable Development) หมายความว่า ไม่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในอัตราที่เร็วกว่าความสามารถของมนุษย์ในการผลิตทรัพยากรทดแทน และไม่ทิ้งทรัพยากรธรรมชาติในอัตราที่เร็วกว่าอัตราที่ธรรมชาติจะสามารถดูดซับมันกลับเข้าไปในระบบ • ประเมินผลดีและผลเสียจากการดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบ สำหรับผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่ม โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมหรือธำรงความอยู่ดีมีสุขของผู้ด้อยโอกาสที่สุดในโครงการนั้นๆ เป็นหัวใจสำคัญ • มองทรัพยากรที่มีวันหมดต่างๆ รวมทั้งผลกระทบภายนอกว่าเป็น “ต้นทุน” ที่ต้องจ่ายหรือกำจัดโดยไม่ให้ประชาชนเป็นผู้รับภาระ

  8. ลักษณะของนโยบายพัฒนาในอุดมคติ (ต่อ) • มุ่งเน้นการพัฒนา “ศักยภาพ” ของมนุษย์ มากกว่า “ระดับรายได้” • ส่งเสริม “ความยุติธรรมทางสังคม” โดยรัฐต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชน จัดบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ได้คุณภาพ ดำเนินนโยบายที่มีจุดมุ่งหมายที่การลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน • สามารถรองรับความหลากหลายของแต่ละวัฒนธรรมท้องถิ่นในทุกระดับได้ เพราะการใช้ชุดนโยบายพัฒนาที่ยัดเยียดแบบ “สำเร็จรูป” อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคม และดังนั้นจึงไม่อาจเรียกว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้

  9. รายได้ต่อหัวของกลุ่มประเทศพัฒนาที่ยกเป็นกรณีศึกษารายได้ต่อหัวของกลุ่มประเทศพัฒนาที่ยกเป็นกรณีศึกษา 9

  10. นโยบายพัฒนาที่ตั้งอยู่บนความสุข : กรณีภูฏาน

  11. นิยามและประเภทของ “ความสุข” • ความสุข (happiness) • เป็นคุณสมบัตินามธรรม เป็นอัตตวิสัย (subjective) และมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยและสภาวะทางอารมณ์ของแต่ละคน • อรรถประโยชน์ (utility) • เป็นภววิสัย (objective) และบางประเภทสามารถวัดออกมาเป็นตัวเลข (เช่น รายได้) • ความอยู่ดีมีสุข (wellbeing) • คือสภาวะที่ดำรงอยู่ต่อเนื่องยาวนานกว่า “ความสุข” ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ยามเท่านั้น และเป็น “ภววิสัย” มากกว่า “ความสุข” เพราะระดับความสุขที่คนแต่ละคน “รู้สึก” อาจมีไม่เท่ากันถึงแม้ว่าจะอยู่ในภาวะ “อยู่ดีมีสุข” ทัดเทียมกัน เช่น คนหนึ่งที่มีฐานะ ความเป็นอยู่ เสรีภาพ ฯลฯ ค่อนข้างดีอาจรู้สึกมีความสุขดีกับชีวิต ในขณะที่อีกคนหนึ่งที่มีปัจจัยเหล่านี้เท่ากันอาจรู้สึกไม่มีความสุขเลย เพราะมีความทะเยอทะยานอยากได้ใคร่มีมากกว่าคนแรก • ดังนั้น “ความอยู่ดีมีสุข” จึงสามารถนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดนโยบายพัฒนาได้

  12. ข้อถกเถียงของอมาตยา เซน ต่อมุมมองเสรีนิยมใหม่ • การมี “เสรีภาพทางเศรษฐกิจ” เพียงมิติเดียว ไม่เพียงพอต่อการเข้าถึงหรือประเมินระดับความอยู่ดีมีสุข • แนวคิดของอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ที่เชื่อว่าทุกคนสามารถแสดงออกถึงระดับอรรถประโยชน์ที่พวกเขาได้รับนั้น เป็นสมมุติฐานที่ไม่ถูกต้อง เพราะคนยากจนมักไม่สามารถแสดงความต้องการและความไม่พึงพอใจของพวกเขาออกมาได้ เนื่องจากถูกสภาพสังคม วัฒนธรรม หรือความเชื่อทางศาสนากดทับเอาไว้ • คนที่มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจระดับหนึ่ง อาจไม่มีความสุขก็ได้เพราะขาดคุณภาพชีวิตที่ดี

  13. ดัชนีพัฒนามนุษย์ (Human Development Index) • ประกอบด้วยตัวชี้วัด 3 ตัวหลัก ได้แก่ • ความยืนยาวของอายุประชากร สะท้อนแนวโน้มที่ประชากรจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี และสะท้อนคุณภาพของระบบสาธารณสุขในประเทศ • อัตราการรู้หนังสือและจำนวนปีที่ประชากรได้รับการศึกษา สะท้อนความสามารถในการเข้าถึงโอกาสต่างๆ • รายได้ต่อหัวประชากร สะท้อนระดับเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

  14. Human Development Index ของกลุ่มประเทศกรณีศึกษา 14

  15. ดัชนีความสุขของโลก (Happy Planet Index) • จัดทำโดยสถาบันวิจัยอิสระชื่อ New Economics Foundation • เป็นดัชนีชุดแรกในโลกที่นำดัชนีวัดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมารวมกับดัชนีวัดความอยู่ดีมีสุขของประชากร HPI วัด “ประสิทธิภาพเชิงนิเวศ”(ecological efficiency) ของแต่ละประเทศในการ “แปลงสภาพ” ทรัพยากรธรรมชาติให้ประชากรมีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข HPI = ความพึงพอใจในชีวิต x ความยืนยาวของอายุ • รอยเท้านิเวศ

  16. ดัชนีความสุขของโลก (Happy Planet Index) ปี 2006

  17. ดัชนีความสุขของโลก (Happy Planet Index) ปี 2006 (ต่อ)

  18. นโยบาย “Gross National Happiness” ของภูฏาน • การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (sustainable economic development) • การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (conservation of the environment) • การส่งเสริมวัฒนธรรมประจำชาติ (promotion of national culture) • ธรรมาภิบาลที่ดี (good governance)

  19. ตัวอย่างนโยบาย GNH ที่เป็นรูปธรรม • “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ควบคู่ไปกับนโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม • กฎหมายสิ่งแวดล้อมระบุว่าต้องมีพื้นที่ป่าไม้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของพื้นที่ทั้งประเทศ และพื้นที่สงวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 • แบนอุตสาหกรรมป่าไม้ อนุญาตให้คนตัดไม้ไปสร้างบ้านเรือนและอาคารเท่านั้น แต่ต้องขออนุญาตจากรัฐและต้องปลูกต้นไม้ชดเชย • มาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวทางอ้อมด้วยการเก็บภาษีท่องเที่ยว • แคมเปญ “ชาติเดียว ชาติพันธุ์เดียว”: บังคับใช้ชุดจริยธรรมแบบจารีตเก่าแก่ (driglam namzha), ภาษา (Dzongka), ใส่ชุดประจำชาติ และให้บ้านเรือนและอาคารทุกหลังใช้สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม • พัฒนาระบบราชการที่เข้มแข็งและสามารถกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น

  20. ปัญหาและความท้าทาย • ยังพึ่งพาอินเดีย (โดยเฉพาะการขายไฟฟ้า - ร้อยละ 88 ของมูลค่าส่งออก) และเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศในอัตราสูง เนื่องจากภาคเอกชนยังมีขนาดเล็กมาก • การพัฒนาภาคธุรกิจเอกชนเป็นไปอย่างเชื่องช้า และมีต้นทุนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนา ส่งผลให้แนวโน้มอัตราว่างงานสูงขึ้นเนื่องจากมีหนุ่มสาวที่จบการศึกษาเร็วกว่าตำแหน่งงานในภาคเอกชน ภาครัฐต้องรับภาระในการจ้างงานค่อนข้างสูง • การให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระดับสูงมากอาจเพิ่มแรงตึงเครียดต่อการพัฒนาประเทศในช่วงต่อไป • ความพยายามที่จะอนุรักษ์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างแข็งขืนกำลังส่งผลกระทบเชิงลบต่อชนกลุ่มน้อยในประเทศ โดยเฉพาะชาวเนปาลอพยพที่ถูกกีดกัน • หลังจากเพิ่งเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รัฐบาลจำเป็นจะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมากในการจัดตั้งและทำนุบำรุงโครงสร้างเชิงสถาบันใหม่ๆ ที่จำเป็นในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นระบบราชการ สถาบันตุลาการ และองค์กรอิสระอื่นๆ

  21. บทบาทของอิสลามในการพัฒนาบทบาทของอิสลามในการพัฒนา

  22. “โลกมุสลิม”

  23. “ความล้าหลัง” ทางเศรษฐกิจของทวีปตะวันออกกลาง สัดส่วน GDP ต่อหัวในประเทศอาหรับ 8 ประเทศ (จอร์แดน, อิรัก, ซีเรีย, เลบานอน, ปาเลสไตน์, อียิปต์, ตูนิเซีย, โมร็อกโก) ต่อค่าเฉลี่ยโลก, 1820-2006

  24. “เศรษฐกิจในอุดมคติ” ตามหลักอิสลาม • มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ • พระอัลเลาะห์เป็นเจ้าของสุดท้ายของสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลก • มนุษย์ควรแสวงหาความมั่งคั่งอย่างชอบธรรมได้ด้วยการทำงานหนักและรับมรดกตกทอด • สังคมมีหน้าที่ดูแลคนจนและคนด้อยโอกาส : ซากัต • ราคาในการทำธุรกรรมต่างๆ ต้องเป็นราคาที่ “ยุติธรรม” หมายความว่าเป็นผลลัพธ์ของตลาดที่มีการแข่งขันอย่างเสรีจริงๆ การผูกขาดและกักตุนสินค้านำไปสู่การฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่น และดังนั้นจึงต้องถูกต่อต้านหรือกำจัด • เป้าหมายของนโยบายการเงินของรัฐควรอยู่ที่การรักษาเสถียรภาพของราคา • เป้าหมายของนโยบายการคลังของรัฐควรอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างรายได้ (จากการเก็บภาษี) และรายจ่าย (เพื่อสาธารณประโยชน์) ในทางที่งบประมาณไม่ขาดดุล

  25. ประสบการณ์การพัฒนาของประเทศมุสลิมประสบการณ์การพัฒนาของประเทศมุสลิม • “เศรษฐศาสตร์อิสลาม” ที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ (normative economics) ที่มีมิติทางอุดมการณ์สูง เริ่มปรากฏเพียงเมื่อกลางทศวรรษ 1970 เท่านั้น • สาเหตุของความล้าหลังในการพัฒนาเศรษฐกิจไม่ใช่หลักอิสลาม หากเป็นปัจจัยอื่นๆ เช่น ความบกพร่องเชิงโครงสร้างเชิงสถาบัน เช่น การปกครองแบบเผด็จการทหาร • ความเสื่อมสลายของอาณาจักรอ็อตโตมันทั้งทางด้านการทหารและเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 19 เดินสวนทางกับกระแสการปฏิวัติอุตสาหกรรมในขณะนั้น • ถึงแม้ว่าหลักชาริอะฮ์จะไม่มีเนื้อหา “ต่อต้าน” พัฒนาการทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์และผู้สังเกตการณ์จำนวนไม่น้อยที่มองว่า อิสลามส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม • ข้อสรุปของงานวิจัยที่ว่าอิสลามในฐานะศาสนาส่งผลกระทบน้อยมากต่อโครงสร้างเชิงสถาบัน ระบอบเศรษฐกิจ หรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมนั้น ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากหลักคำสอนของศาสนาอื่นๆ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบในสาระสำคัญต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกัน

  26. อิสลามไม่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติต่อความเจริญทางเศรษฐกิจอิสลามไม่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ • งานวิจัยของ มาร์คัส โนแลนด์ (Marcus Noland, 2006) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติที่มีนัยยะสำคัญใดๆ ระหว่างความเชื่อทางศาสนากับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะในระดับระหว่างประเทศ (cross-national) หรือในระดับระหว่างภูมิภาคต่างๆ ในประเทศ (subnational) • ในทางตรงกันข้าม โนแลนด์รายงานว่า “ค่าสัมประสิทธิ์ที่มีความสำคัญทางสถิติแทบทุกตัวมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับสัดส่วนประชากรที่เป็นมุสลิม บ่งชี้ว่าอิสลามส่งเสริมความเจริญ ไม่ใช่อุปสรรค” • ระดับความเป็นอิสลาม” (ซึ่งสะท้อนในสัดส่วนประชากรที่เป็นมุสลิม) ของแต่ละประเทศ ไม่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติใดๆ กับ “ระดับความเจริญทางเศรษฐกิจ” ของประเทศนั้นๆ

  27. ชาวมุสลิมมองเห็นความบกพร่องของโครงสร้างเชิงสถาบันชาวมุสลิมมองเห็นความบกพร่องของโครงสร้างเชิงสถาบัน • ข้อเท็จจริงที่ว่าหลักอิสลามไม่ใช่สาเหตุของความล้าหลังทางเศรษฐกิจ มีนัยยะที่สำคัญยิ่งต่อการดำเนินนโยบายพัฒนาในประเทศมุสลิม รัฐบาลประเทศมุสลิมควรมุ่งเน้นการส่งเสริมโครงสร้างเชิงสถาบันต่างๆ

  28. ระบบการเงินอิสลาม : “คู่ขนาน” กับการเงินกระแสหลัก • การทำธุรกรรมการเงินแบบอิสลามมีมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของอารยธรรมอิสลาม(คริสต์ศตวรรษที่ 9-14) • หลังจากที่ได้รับเอกราชจากประเทศเจ้าอาณานิคม ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ประเทศมุสลิมหลายแห่งก็เริ่มเกิดความสนใจที่จะนำรูปแบบการเงินอิสลามกลับมาใช้ใหม่ นำไปสู่การจัดตั้งสถาบันการเงินมุสลิม • อุปสงค์ที่สูงขึ้นตลอดช่วงทศวรรษ 1980 ทำให้ระบบการเงินอิสลามเติบโตขึ้นและดึงดูดให้ธนาคารพาณิชย์จากโลกตะวันตกเข้ามาเสนอบริการด้านบริหารความมั่งคั่ง รวมทั้งขยายตลาดไปสู่ชาวมุสลิมหมู่มากผ่าน “หน้าต่างธนาคารอิสลาม” • ระบบการเงินอิสลามและตลาดทุนอิสลามแสดงให้เห็นความยืดหยุ่นของหลักชาริอะฮ์ในการสนับสนุนระบบการเงินและตลาดทุนที่นอกจากจะสามารถดำรงอยู่ “ควบคู่” ไปกับระบบการเงินและตลาดทุนกระแสหลักแล้ว ยังสามารถ “ต่อยอด” ระบบการเงินกระแสหลักในทางที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม

  29. หลักการของระบบการเงินอิสลามหลักการของระบบการเงินอิสลาม • ระบบการเงินแบบอิสลาม (Islamic financial system) หมายถึงระบบการเงินที่ให้ซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ไม่ขัดต่อหลักชาริอะฮ์ • หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือการห้าม “ริบา” (ดอกเบี้ย) และห้ามการควบคุมราคาและการบิดเบือนราคา แต่ไม่ได้ห้ามการเก็งกำไรใดๆ ทั้งสิ้น • แก่นแท้ของระบบการเงินอิสลามอยู่ที่การส่งเสริมทักษะและทัศนคติแบบ “ไม่เสี่ยงเกินตัว” ของผู้ประกอบการ การปกป้องสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล ความโปร่งใสและความเท่าเทียมกัน (level playing field) ของผู้เล่นในระบบ ตลอดจนความศักดิ์สิทธิ์ของสัญญาทางการเงิน • แนวคิดเรื่องการเงินอิสลามเป็นแนวคิดที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลาและนวัตกรรมในโลกการเงินกระแสหลัก ปัจจุบันแตกแขนงออกไปเป็นสำนักคิดสี่แห่งหลักๆ ได้แก่ ฮานาฟี (Hanafi) มาลิกี (Maliki) ชาเฟย์ (Shafei) และ ฮันบาลี (Hanbali) แต่ละสำนักคิดมีการตีความรายละเอียดปลีกย่อยในชาริอะฮ์แตกต่างกันไปตามมุมมองของตน

  30. ผลิตภัณฑ์ทางการเงินในระบบอิสลามผลิตภัณฑ์ทางการเงินในระบบอิสลาม • การขายแบบต้นทุนบวกส่วนต่าง (cost-plus-sale) หรือทุนเพื่อการขาย (purchase finance) เรียกว่า มูราบาฮา (Murabaha) • การเช่าซื้อ เรียกว่า อิจารา (Ijara) • การแบ่งผลกำไรจากธุรกิจ เรียกว่า มูดาราบา (Mudaraba) มีลักษณะคล้ายคลึงกับการลงทุนแบบร่วมลงทุน (venture capital) ในระบบการเงินกระแสหลัก • การร่วมทุนทำธุรกิจ เรียกว่า มูชาริกา (Musharika) • จากงานวิจัยพบว่า ธุรกรรมมูชาริกา และมูราบาฮาของธนาคารอิสลาม สามารถใช้กำหนดนโยบายการเงินของธนาคารได้ค่อนข้างดี ใช้แทนที่นโยบายดอกเบี้ยได้ (เช่น อิหร่าน)

  31. ความท้าทายและนโยบายที่จำเป็นความท้าทายและนโยบายที่จำเป็น • ถึงแม้สถาบันการเงินอิสลามจะมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ แต่สถานการณ์ตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ปัญหาขาดแคลนสภาพคล่อง พอร์ตลงทุน เครื่องมือบริหารความเสี่ยง สินทรัพย์สภาพคล่องสูง ตลอดจนข้อจำกัดอื่นๆ ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของสถาบันการเงินอิสลามอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่และสินทรัพย์เหล่านั้นส่วนใหญ่ก็เป็นตราสารการเงินระยะสั้น • ปัจจุบันธุรกรรมการเงินแบบอิสลามมักจะเสียเปรียบตราสารหนี้กระแสหลักในด้านความคุ้มค่าของต้นทุน (cost-efficiency) • อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่กีดขวางการเติบโตของการเงินอิสลามคือการขาดความเข้าใจในสภาวะตลาดการเงินสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนรายละเอียดของกฎเกณฑ์ที่ตรงตามหลักชาริอะฮ์ • การผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน และการเปิดให้ทุนไหลเวียนระหว่างประเทศโดยเสรีในหลายๆ ประเทศ ทำให้สถาบันการเงินอิสลามและสถาบันการเงินกระแสหลักเริ่มร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อหาหนทางเพิ่มสภาพคล่องและบริหารจัดการพอร์ตลงทุน

  32. นโยบายประชานิยมในละตินอเมริกา

  33. ปรัชญาและเบื้องหลัง • แนวคิดประชานิยมมีรากฐานทางปรัชญาเกี่ยวพันกับลัทธิประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ของ เจเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham) • การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบ “เปิดเสรีสุดขั้ว” ภายใต้อุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ของ “ตะวันตก” ซึ่งถูก “นำเข้า” มาใช้อย่างเร่งรีบและรุนแรง เป็นสาเหตุหนึ่งของการเลือกดำเนินนโยบายประชานิยม • ผู้ปกครองภายใต้แนวคิดประชานิยมพยายามนำเสนอแนวนโยบายที่มีลักษณะเป็นปฏิกิริยาโต้กลับ (Reactionary) นโยบายเดิม โดยมีสาระต่อต้านแนวคิดแบบ “ตะวันตก” และลิดรอนอำนาจทางเศรษฐกิจของชนชั้นนำ (Establishment) ทั้งชนชั้นนำระดับท้องถิ่นและระดับชาติที่มีบรรษัทต่างชาติคอยหนุนหลัง

  34. รูปแบบและหลักการของนโยบายประชานิยมรูปแบบและหลักการของนโยบายประชานิยม • หลักการพื้นฐานของนโยบายประชานิยม คือการระดมทรัพยากรทางการคลังของรัฐบาล ทั้งเงินในงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ และรายได้จากการค้าขายของรัฐบาล มาใช้จ่ายอย่างเต็มที่ในนโยบายประชานิยมรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการทำให้สถาบันการเงินของรัฐให้เป็นแหล่งเงินทุนในการใช้จ่ายงบประมาณไปในนโยบายประชานิยม โดยเน้นหนักไปในการใช้นโยบายกึ่งการคลัง • รัฐบาลมักอ้างว่าการดำเนินนโยบายประชานิยมเป็นไปเพื่อช่วยเหลือคนยากจนที่เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ภายในประเทศให้มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น และมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น • นโยบายประชานิยมมีหลากหลายมาตรการ • มาตรการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนในระดับรากหญ้า • มาตรการสร้างสวัสดิการสังคม • มาตรการแก้ไขปัญหาความยากจนและการยกหนี้/พักชำระหนี้

  35. ที่มาของนโยบายประชานิยมในละตินอเมริกาที่มาของนโยบายประชานิยมในละตินอเมริกา • ในยุคล่าอาณานิคมภูมิภาคละตินอเมริกาตกเป็นเมืองขึ้นและถูกประเทศแม่ขูดรีดทรัพยากรไปเป็นจำนวนมาก หลังจากได้รับเอกราช ประเทศส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบบสังคมนิยมและเผด็จการ ปกครองโดยรัฐบาลทหาร เนื่องจากรัฐบาลทหารต้องการแสวงหาความชอบธรรมเพื่อจะได้อยู่ในอำนาจนานๆ จึงเริ่มใช้นโยบายประชานิยม • การใช้นโยบายประชานิยมก่อปัญหามากมาย องค์กรโลกบาลต่างๆ จึงเข้ามามีบทบาทในละตินอเมริกา โดยเสนอให้ดำเนินนโยบายตามฉันทมติวอชิงตัน ซึ่งเป็น “ยาแรง” ที่ส่งผลเสียต่อประเทศไม่น้อยไปกว่ากัน นำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาค ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า • หลังจากวิกฤติ ประเทศเริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้านการชักนำและนโยบายแทรกแซงของสหรัฐอเมริกา นำไปสู่การดำเนินนโยบายประชานิยมอีกครั้ง ซึ่งมีรูปแบบแตกต่างออกไปจากเดิมในรายละเอียด 35

  36. โครงสร้างเชิงสถาบันกับนโยบายประชานิยมโครงสร้างเชิงสถาบันกับนโยบายประชานิยม • โดยรวม การใช้นโยบายประชานิยมเป็น “ปฏิกิริยา” (reactionary policies) ของประเทศละตินต่อผลเสียจากอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ และการกดขี่แทรกแซงของบรรษัทข้ามชาติและรัฐบาลอเมริกัน • ประชากรในละตินอเมริกามีหลากหลายเชื้อชาติ มีภาษาและวัฒนธรรมเฉพาะเป็นของตนเอง และมีแนวโน้มที่จะต่อต้านต่างชาติ เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ถูกขูดรีดและแทรกแซงจากต่างชาติเสมอมา ทำให้การดำเนินนโยบายประชานิยมสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ เอื้อให้เกิดการดำเนินนโยบายในลักษณะนี้อยู่เสมอ • รูปแบบและความสำเร็จของนโยบายประชานิยม มักขึ้นอยู่กับ • อุดมการณ์ทางการเมืองที่ผู้นำยึดถือ เช่น ประชาธิปไตย สังคมนิยม หรือเผด็จการทหาร • ลัทธิความเชื่อทางเศรษฐกิจว่าเชื่อในลัทธิเสรีนิยมใหม่ หรือต่อต้านเสรีนิยมใหม่ • ระดับความแข็งแกร่งของโครงสร้างเชิงสถาบันในละตินอเมริกา ซึ่งในหลายประเทศยังอ่อนแออยู่ • ระดับทรัพยากร เช่น ประเทศที่มีรายได้จากการขายพลังงานที่ราคากำลังพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ (เวเนซุเอลา โบลิเวีย และเอกวาดอร์) ย่อมสามารถใช้เงินดำเนินนโยบายประชานิยมอย่าง “ยั่งยืน” มากกว่าประเทศที่ไม่มี 36

  37. หนี้สาธารณะ : หนึ่งในข้อจำกัดของขอบเขตประชานิยม สัดส่วนหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงของอาร์เจนตินาและบราซิล ประกอบกับการที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์เท่าไรนักทำให้สองประเทศนี้มีความคล่องตัวในการดำเนินนโยบายประชานิยมต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างเวเนซุเอลา ชิลี หรือเอกวาดอร์ 37

  38. รูปแบบของประชานิยมในละตินอเมริการูปแบบของประชานิยมในละตินอเมริกา • ประชานิยมแบบดั้งเดิม มีฐานเสียงส่วนใหญ่อยู่ที่กลุ่มสหภาพแรงงาน มีนโยบายจัดสรร กระจายและแจกจ่ายสินค้าและบริการต่าง ๆ ให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งเป็นคนจนและชนชั้นกลางให้เป็นธรรมมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจต่อต้านทุนนิยมเสียทีเดียว นโยบายแบบนี้มีลักษณะต้องการกระจายอำนาจในการบริโภคมากกว่าต้องการปฏิวัติระบอบเศรษฐกิจ • ประชานิยมเสรีนิยมใหม่เลือกดำเนินนโยบายประชานิยมควบคู่ไปกับนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ปล่อยให้กลไกตลาดเป็นตัวกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และลดบทบาทของรัฐลง แล้วใช้นโยบายเอาใจฐานเสียงที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนระดับล่างในเศรษฐกิจนอกระบบซึ่งจะใช้เฉพาะกลุ่มเท่านั้น ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การแยกตัวเองออกจากกลุ่มนักการเมืองรุ่นเก่า หรือ กลุ่มอำนาจเก่า • ประชานิยมชาตินิยมมีนโยบายซื้อคืนกิจการของเอกชน โดยเฉพาะกิจการผูกขาดในสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ตกอยู่ในมือบรรษัทข้ามชาติ ให้กลับมาเป็นของรัฐ และดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างสถาบัน 38

  39. ผลดี-ผลเสียของนโยบายประชานิยมรูปแบบต่าง ๆ • ประชานิยมแบบดั้งเดิมส่งผลให้รายได้ที่แท้จริงและการบริโภคอยู่ในระดับดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ประชาชนได้สินค้าและบริการมาอุปโภคบริโภคโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุน ทำให้เศรษฐกิจในระยะแรกเติบโต แต่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในระยะยาว โดยเฉพาะการบั่นทอนวินัยทางการคลังของรัฐ และวินัยทางการเงินของประชาชน • ประชานิยมเสรีนิยมใหม่ ทำให้เกิดผลกระทบคล้ายคลึงกับประชานิยมแบบแรก ต่างกันที่ • มีผลดีจากการที่นักลงทุนจากในและต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนภายในประเทศ มากกว่าประเทศที่ใช้ประชานิยมแบบดั้งเดิมและประชานิยมชาตินิยม • เมื่อใช้นโยบายควบคู่กับเสรีนิยมใหม่ที่เน้นกลไกตลาด จะทำให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น หากประเทศมีโครงสร้างเชิงสถาบันที่ดี • ประชานิยมชาตินิยม ส่งผลให้รายได้ที่แท้จริงเพิ่มขึ้น ระบบบริการสุขภาพและระบบการศึกษามีคุณภาพดีกว่าเดิม แต่ก็ส่งผลให้รัฐบาลมีภาระในการใช้จ่ายมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบในระยะยาวไม่ต่างกันกับนโยบายประชานิยมแบบอื่น ๆ นอกจากนี้ ก็มีข้อกังขาว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินธุรกิจผูกขาดได้ดีกว่าเอกชนหรือไม่ 39

  40. รูปแบบของประชานิยมในประเทศละตินอเมริการูปแบบของประชานิยมในประเทศละตินอเมริกา 40

  41. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายประชานิยมข้อถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายประชานิยม • การดำเนินนโยบายประชานิยมช่วยแก้ปัญหาให้กับคนยากจนได้หรือไม่ • การดำเนินนโยบายกระตุ้นอุปสงค์ระยะสั้นแบบเคนส์ (Keynes) ส่งผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน • การดำเนินนโยบายประชานิยมอยู่ภายใต้อุดมการณ์สังคมนิยมหรือไม่ • แนวนโยบายประชานิยมต่อต้านอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่จริงหรือไม่ • การดำเนินนโยบายประชานิยม ทำให้กระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยและประชาสังคมต้องติดขัดจริงหรือไม่ • การดำเนินนโยบายประชานิยมมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือคนจนจริงหรือไม่ 41

  42. การปรับตัวภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์การปรับตัวภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ • การปรับตัวตอบสนองและสนับสนุนโลกาภิวัตน์ • แสดงให้เห็นว่าหลักการของทุนนิยมนั้นไม่ได้ขัดต่อการดำเนินนโยบายประชานิยมแต่อย่างใด แม้ว่าอาจมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เฉพาะเจาะจงกว่าประชานิยมโดยทั่วไปบ้าง • เช่น รัฐบาลประชานิยมเสรีนิยมใหม่ของประธานาธิบดี อัลเบอร์โต ฟูจิโมริ แห่งเปรู เลือกที่จะไม่ดำเนินนโยบายปฏิรูปที่ดิน นโยบายกระจายรายได้ แต่เน้นส่งเสริมการบริโภคของประชาชน กระตุ้นอุปสงค์ระยะสั้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาค • การปรับตัวตอบสนองและต่อต้านโลกาภิวัตน์ในรูปแบบต่าง ๆ • “เขตเศรษฐกิจของประชาชน” (Bolivarian Alternative for the Americas, ALBA) ลงนามร่วมกันระหว่างโบลิเวีย คิวบา และเวเนซุเอลา • นโยบายควบคุมเงินทุนไหลเข้า เช่น อาร์เจนตินาในยุคประธานาธิบดี เนสเตอร์ คิชเนอร์ • โครงการ “เปโตรคาริป” (Petro Caribe) ขายน้ำมันราคาถูก, “เปโตรชัว” (Petro Sur)น้ำมันแลกลูกวัว, และ “เทเลซัว” (Tele Sur) ผลิตรายการทางเลือก

More Related