390 likes | 640 Views
5. คำท้า. เดิม เรื่องของ “ คำท้า ” ไม่ปรากฏในตัวบทกฎหมายวิธีพิจารณาความมาก่อน เป็นเรื่องที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาและหลักการทางวิชาการกฎหมายลักษณะพยาน
E N D
5 คำท้า
เดิม เรื่องของ “คำท้า” ไม่ปรากฏในตัวบทกฎหมายวิธีพิจารณาความมาก่อน เป็นเรื่องที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาและหลักการทางวิชาการกฎหมายลักษณะพยาน ปัจจุบัน นอกจาก ป.วิ.พ. (ฉบับที่ 23) ที่บัญญัติเรื่อง “ข้อเท็จจริงที่ถือว่าคู่ความรับกันแล้วในศาล” ไว้ในมาตรา 84(3) และยังมีการเพิ่มบทบัญญัติมาตรา 103/2 ขึ้นมา ป.วิ.พ. มาตรา 103/2 บัญญัติว่า “คู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาจร้องขอต่อศาลให้ดำเนินการสืบพยานหลักฐานไปตามวิธีการที่คู่ความตกลงกัน ถ้าศาลเห็นสมควรเพื่อให้การสืบพยานหลักฐานเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม ศาลจะอนุญาตตามคำร้องขอนั้นก็ได้ เว้นแต่การสืบพยานหลักฐานนั้นจะเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”
ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา “คำท้า” หมายถึงการที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแถลงว่าจะยอมรับข้อเท็จจริงใดข้อเท็จจริงหนึ่ง ถ้าได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามคำท้านั้น คำท้าจึงเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงโดยมีเงื่อนไข แต่เงื่อนไขเกี่ยวกับคำท้านั้นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณา 5.1 ความหมาย
ฎ.43/2545 การที่คู่ความท้ากันให้ถือเอาคำเบิกความของ ส. เป็นข้อแพ้ชนะในคดีถือว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (1)(เดิม) (ปัจจุบันคือมาตรา 84(3)) โดยมี เงื่อนไขว่าจะต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใด อีกฝ่ายหนึ่งต้องรับข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นทั้งหมด (ฎ. 2390-2391/2551 ยืนยันคำอธิบายเรื่องคำท้า) 4
ข้อสังเกต ตาม ฎ.43/2545 ถือว่า “คำท้า” อ้างหลักกฎหมาย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (1) แต่มีฎีกา (เช่น ฎ.998/2531) ใช้ “คำท้า” ในความหมายของการดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่คู่ความตกลงกันและศาลยอมรับให้ท้าได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะอ้างหลักกฎหมายใด ต่างก็มีผลเช่นเดียวกัน คือ ต้องบังคับตามที่คู่ความตกลงกัน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 138
คำท้ามีได้เฉพาะในคดีแพ่ง ≠คดีอาญาไม่มีการท้ากันให้รับข้อเท็จจริง 5.2 องค์ประกอบและข้อพิจารณาเรื่อง “คำท้า” (2) คำท้าจะต้องเป็นเรื่องที่กระทำโดย “คู่ความ” ในศาล (3) คำท้าจะต้องเป็นเรื่องที่ศาลอนุญาตให้ท้ากันได้ (4) คำท้าเป็นคำรับที่มีเงื่อนไขและเงื่อนไขของคำท้า ต้องชอบด้วยกฎหมาย
(5) คำท้าต้องเป็นข้อตกลงให้เป็นผลแพ้ - ชนะคดีกัน (6) ตกลงท้ากันแล้วฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเลิกไม่ได้ (7) คำท้ามีผลผูกพัน “คู่ความที่ตกลงท้ากัน” เท่านั้น (8) คำท้าที่ไม่บรรลุผลตามเงื่อนไข หรือ คำท้าที่ไม่ชอบ ถือว่า “ไม่มีคำท้า” นั้น
คำท้าเป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84(3) แต่คดีอาญาโจทก์ต้องพิสูจน์ความผิดของจำเลยให้ครบองค์ประกอบความผิดด้วยพยานหลักฐาน เว้นแต่ จำเลยให้การรับสารภาพ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 และมาตรา 227 (ดู ฎ.1570/2511) ฎ.1292/2532 คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาคำท้าใช้ได้ในการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่ง (1) คำท้ามีเฉพาะในคดีแพ่ง คดีอาญามีไม่ได้
“คู่ความ” ในคดีเท่านั้นที่จะตกลงในเรื่องคำท้าได้ เช่นเดียวกับกรณีของคำรับ เพราะคำท้าก็คือคำรับที่มีเงื่อนไข การตกลงเรื่องคำท้า ปกติจะเกิดขึ้นก่อนสืบพยานและต้องเป็นกระบวนพิจารณา “ในศาล” ≠ ถ้าเป็นเรื่องที่มีการท้ากันนอกศาล อาจเป็นได้เพียงพยานหลักฐานเท่านั้น คำท้านอกศาล อาจนำเสนอเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 87 (2) คำท้าจะต้องเป็นเรื่องที่กระทำโดย“คู่ความ” และ “ในศาล”
การท้ากันของคู่ความจะต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาล เพราะเงื่อนไขของคำท้าต้องเป็นเงื่อนไขที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะกล่าวในหัวข้อต่อไป เมื่อมีการท้ากันโดยคู่ความ ในทางปฏิบัติศาลจะบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาให้ชัดเจน (3) คำท้าจะต้องเป็นเรื่องที่ศาลอนุญาตให้ท้ากันได้
(1) เงื่อนไขของคำท้าต้อง... ไม่เป็นที่พ้นวิสัย ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน (2) เงื่อนไขของคำท้าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล (4) เงื่อนไขคำท้าต้องชอบด้วยกฎหมาย
การสาบานเป็นกระบวนพิจารณาในศาล ดังนั้นจึงท้ากันเรื่องการสาบานได้ ฎ.508/2520 ท้ากันให้จำเลยและพยานจำเลยดื่มน้ำสาบานต่อหน้าพระพุทธรูป ฎ.1333/2530 ท้ากันให้เอาคำสาบานของ ส.เป็นข้อแพ้ชนะ แม้ ส.ไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการสาบานนั้นก็ท้ากันได้ (ฎ.1186/2533 วินิจฉัยทำนองเดียวกัน)
(1) ท้ากันให้ฟังผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญ (ฎ.540/2513,ฎ.2181/2523,ฎ.1100/2531) (2) ท้ากันให้เอาคำเบิกความของพยานคนหนึ่งคนใดเป็นข้อแพ้ชนะในคดี (ฎ.1370/2510, ฎ.957/2522, ฎ.444/2539, ฎ.43/2545) 5.3 ตัวอย่างของเรื่องที่ท้ากันได้
(3) ท้ากันให้วินิจฉัยเพียงประเด็นหนึ่งประเด็นใด ฎ.1629/2525 ท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นเดียวว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทหรือไม่ ฎ.3645/2526 ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ฎ.1287/2530 ท้ากันขอให้ศาลไปเผชิญสืบว่าทรัพย์พิพาทอยู่ในสภาพที่โจทก์จะรับคืนไปได้หรือไม่
(4) ท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินแล้วถือผลเป็นยุติ (ฎ.3145/2532, ฎ.952/2537, ฎ.1580/2537, ฎ.1124/2540 และ ฯลฯ) (5) ที่ท้ากันแปลกๆ แล้วศาลยอมรับก็มี เช่น ฎ.5244/2531 ท้ากันให้ผู้พิพากษาทั้งศาลรวม6 นายเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริง
ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นจากการตกลงเรื่องคำท้าไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการตกลงในเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุถ้าไม่ได้ตกลงให้ฟังพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นยุติย่อมไม่ใช่คำท้า 5.4 คำท้าต้องเป็นข้อตกลงให้เป็นผลแพ้ชนะคดีต่อกัน
ฎ.633/2492 คู่ความตกลงให้สืบพยานร่วมคนเดียว เมื่อคำเบิกความของพยานฟังเป็นแน่นอนไม่ได้ ก็ต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่นำสืบมาตามประเด็นแห่งคดี ฎ.803/2494 คู่ความตกลงขอให้ศาลไปตรวจดูสภาพที่พิพาทแล้ววินิจฉัยชี้ขาดโดยไม่สืบมิใช่เป็นคำท้าของคู่ความ
ฎ.7636/2543 ตอนแรกมีการเสนอท้ากันให้ถือเอาผลคดีอาญาของศาลชั้นต้นเป็นผลแพ้ชนะกัน แต่ในนัดต่อมาคู่ความแถลงร่วมกันใหม่ว่าขอถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในผลแห่งคดีอาญาของศาลชั้นต้น มาเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ ดังนี้ไม่ใช่คำท้าเพราะไม่ได้ถือเอาผลคดีอาญาดังกล่าวมาเป็นข้อแพ้ชนะ หมายเหตุ ให้เปรียบเทียบกับ ฎ.957/2522 โจทก์จำเลยตกลงท้ากันขอให้สืบ ส.เป็นพยาน หาก ส. เบิกความเจือสมฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นชนะคดีดังนี้เป็นคำท้า
ฎ.75/2540 คู่ความตกลงท้ากันให้สืบพยานบุคคลคนหนึ่งต่อหน้าศาล จำเลยไม่มีสิทธิถอนคำท้าเพียงเพราะเกรงว่าพยานจะเบิกความเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่ง ศาลก็สั่งเลิกคำท้าไม่ได้ (ดู ฎ.1325/2535) คำท้าของทนายความที่ตกลงไว้ย่อมผูกพันตัวความ แม้ทนายความจะถอนตัวก็ผูกพันตัวความที่ต้องปฏิบัติตามคำท้า (ฎ.3003/2532) 5.5 ตกลงท้ากันแล้วฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเลิกไม่ได้
ฎ.1713-1714/2523โจทก์และจำเลยที่ 1 ท้าพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายแพ้ตามคำท้า ข้อตกลงท้ากันคงมีผลบังคับเฉพาะในระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น หามีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ตกลงตามคำท้าด้วยไม่ เพราะกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 กระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความร่วม 5.6 คำท้ามีผลผูกพันคู่ความที่ตกลงท้ากันเท่านั้น
ฎ.704/2498 ท้ากันว่าที่พิพาทอยู่ในโฉนดฝ่ายใด ปรากฏว่าโฉนดเก่าตรวจสอบไม่ได้ศาลต้องสืบพยานหลักฐานต่อไป ฎ.415/2507 ท้ากันตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือ ปรากฏว่าเลอะเลือนตรวจพิสูจน์ไม่ได้ ต้องพิจารณาคดีต่อ 5.7 คำท้าที่ไม่บรรลุผลตามเงื่อนไขถือว่าไม่มีคำท้านั้น
ฎ.2939/2529 ท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้เชี่ยวชาญไม่อาจลงความเห็นยืนยันได้จึงชอบที่จะสืบพยานหลักฐานต่อไป ฎ.4926/2540 ท้ากันให้ฟังคำเบิกความของ ส. เป็นยุติว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย แต่คำเบิกความของ ส. มิได้เบิกความว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย ศาลไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นไปตามคำท้าได้
ฎ.998/2531เมื่อเงื่อนไขตามคำท้าสำเร็จครบถ้วนตามข้อตกลงแล้ว ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องพิพากษาให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น การที่ศาลชั้นต้นยังไกล่เกลี่ยคู่ความและดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปอีกเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลสูงมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณานั้นได้และพิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลงท้ากัน 5.8 ถ้าคำท้าบรรลุผลศาลต้องวินิจฉัยตามคำท้า ฎ.5244/2531 ท้ากันโดยมอบให้ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว จะอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานแล้ววินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงใหม่ไม่ได้
ถึงแม้คำท้าจะเป็นการตกลงให้ผลคดีเป็นยุติ แต่ทางปฏิบัติมักมีการไม่ยอมรับที่จะปฏิบัติตามคำท้า โดยอ้างเหตุผลที่สำคัญ คือ คำท้านั้นยังไม่บรรลุผล คำท้าบรรลุผลแล้วหรือไม่ จึงควรศึกษาจากคำพิพากษาศาลฎีกา ข้อสังเกต คำท้าที่ท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาในคดีอื่นเป็นข้อแพ้ชนะ โดยไม่ได้ระบุว่าของศาลใด ต้องหมายถึงผลคำพิพากษาอันถึงที่สุด 5.9 ปัญหาการตีความเรื่องคำท้าบรรลุผลหรือไม่
คู่ความตกลงกันให้เจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินเพื่อชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตของโจทก์หรือจำเลย คู่ความตกลงกันให้เจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินเพื่อชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตของโจทก์หรือจำเลย ตัวอย่างฎีกาเรื่องท้ากันให้ไปรังวัดที่ดิน
ฎ.3145/2532 เจ้าพนักงานที่ดินมิได้รังวัดสอบเขตตามคำท้า แต่กลับรังวัดไปตามเขตที่ครอบครองซึ่งโจทก์จำเลยนำชี้ ถือว่าคำท้าไม่เป็นผล ฎ.2890/2531 เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดโดยไม่ได้ทำตามหลักวิชา ถือไม่ได้ว่าเป็นไปตามคำท้า ฎ.952/2537 ในการรังวัดโจทก์จำเลยตรวจดูแผนที่พิพาทแล้วลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้โต้แย้ง ถือว่าเงื่อนไขตามคำท้าครบถ้วนแล้ว
ฎ.1124/2540 เจ้าพนักงานที่ดินยังไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้ เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอน ศาลยังชี้ขาดตามคำท้าไม่ได้ แต่ ฎ.1580/2537 ไม่อาจรังวัดได้เพราะจำเลยขัดขวาง เช่นนี้ถือว่าเป็นกรณีที่ยังสามารถปฏิบัติตามคำท้าได้ ศาลสั่งให้ทำการรังวัดใหม่และห้ามจำเลยขัดขวางได้
ฎ.5992/2545 โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทตามหลักวิชาการเป็นข้อชี้ขาดปัญหา เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการรังวัดทำแผนที่พิพาทโดยถูกต้องด้วยการส่องกล้องและให้ความเห็นว่า “อาคารพิพาทของจำเลยทั้งสองน่าจะอยู่ในที่ดินของโจทก์” ถือได้ว่าผลของการรังวัดสอบเขตสมความประสงค์ของคู่ความและตรงตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ตกลงกันแล้วตามมาตรา ป.วิ.พ. มาตรา 138 การที่เจ้าพนักงานที่ดินให้ความเห็นว่า “น่าจะ” นั้น เป็นเพราะความเห็นที่ให้นั้นเกิดจากข้อเท็จจริงที่พบเห็นจากพยานหลักฐานในขณะกำลังทำการรังวัด หาใช่เป็นการไม่ยืนยันมั่นคงแต่อย่างใดไม่จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า 28
ฎ.736/2507 ท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาว่า โจทก์ถูกกระสุนปืนจากจำเลยหรือไม่ เมื่อคดีอาญาศาลฟังว่าโจทก์ถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงแม้จะฟังว่าจำเลยกระทำไปเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด แต่คำท้าก็เป็นผลแล้ว ตัวอย่างฎีกาที่ตีความเรื่องคำท้า
ฎ.1735/2513 ตกลงให้ที่ดินอำเภอ หรือ ปลัดอำเภอไปตรวจดูที่พิพาท แต่ปรากฏว่าเสมียนพนักงานที่ดินอำเภอไปจึงไม่ตรงตามคำท้า ฎ.2290/2530 ท้ากันว่าคนขับรถของจำเลยที่ 2 มีใบอนุญาตขับขี่หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคนขับรถจำเลยที่ 2 มีใบอนุญาตตามคำท้า แต่ใบอนุญาตขาดต่ออายุ ต้องถือว่ามีใบอนุญาตตามคำท้าแล้ว
ฎ.5156/2543 ท้ากันให้โยธาธิการจังหวัดชี้ขาดว่าตึกของโจทก์หรือของจำเลยที่เอนมาจนเป็นเหตุให้เกิดละเมิด โยธาธิการตรวจสอบแล้วตอบว่าน่าจะเกิดเองตามธรรมชาติเพราะมีอายุการใช้งานนาน ดังนี้ ไม่เป็นการชี้ประเด็นตามคำท้า ฎ.8471/2544 ท้ากันให้ฟังเสียงข้างมากของผลการตรวจทางแพทย์ของโรงพยาบาล 3 แห่ง ว่าโจทก์เป็นบุตรผู้ตายหรือไม่ ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจะต้องทำการตรวจถึง 3 ครั้ง จึงให้ความเห็นมาก็ไม่ผิดเงื่อนไขคำท้า
ฎ. 12183/2547 โจทก์จำเลยท้ากันว่า ให้ศาลส่งลายมือชื่อของจำเลยในสัญญากู้กับตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ ถ้าผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เป็นลายมือชื่อของจำเลยจริง จำเลยยอมแพ้คดี ถ้าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย โจทก์ยอมแพ้คดี ศาลส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ดังนี้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นการยืนยันหรือทำนองยืนยันว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยตรงตามคำท้าของโจทก์จำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี 32
ฎ.12183/2547 โจทก์จำเลยท้ากันว่า ให้ศาลส่งลายมือชื่อของจำเลยในสัญญากู้กับตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ ถ้าผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เป็นลายมือชื่อของจำเลยจริง จำเลยยอมแพ้คดี ถ้าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย โจทก์ยอมแพ้คดี ศาลส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ดังนี้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นการยืนยันหรือทำนองยืนยันว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยตรงตามคำท้าของโจทก์จำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี 33
ฎ.4858/2537 คู่ความตกลงท้ากันว่า หากมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาซึ่งจำเลยถูกฟ้องเป็นจำเลยว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยยอมแพ้ หากคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง โจทก์ยอมแพ้ คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ปรากฏว่าในคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โดยมิได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ดังคำท้า ฎีกาน่าวิเคราะห์
(ต่อ) ศาลไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะหรือแพ้คดีตามคำท้าได้ ต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป แม้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจดบันทึกคำท้าไว้ว่าคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ก็มีความหมายเพียงว่าหากคำพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดอย่างหนึ่งอย่างใดตามคำท้าแล้วคู่ความจะไม่ติดใจสืบพยาน
“คำท้า” เป็นกระบวนพิจารณาในการรับข้อเท็จจริงตามที่คู่ความตกลงกัน และเมื่อมีการเพิ่มเติมบทบัญญัติมาตรา 84 (3) และมาตรา 103/2 ขึ้นมาใหม่ จึงทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาโดยคู่ความตกลงกันและได้รับอนุญาตจากศาลมีความกว้างขวางและหลากหลายมากขึ้น แต่หลักในเรื่องการทำให้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยผลของคำท้านั้น ยังคงมีอยู่ตามแนว ฎ.43/2545 ส่วนการดำเนินการพิจารณาอื่นๆ ที่คู่ความตกลงกันก็ย่อมทำได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 103/2 โดยไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเฉพาะเรื่องคำท้าเท่านั้น 5.10 บทสรุปเรื่องคำท้า 36