1 / 19

Basic Electronics for Automation Engineering

Basic Electronics for Automation Engineering. Student Name:Mr.Thanik Kittisattayakul Student ID: 53010690 Program: Automation Engineering Homework no.: 2 Date of Assignment: May 31, 2011 Date of Submission: June 5, 2011 . ลอจิกเกตพื้นฐาน ( BASIC LOGIC GATES) .

micah
Download Presentation

Basic Electronics for Automation Engineering

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. Basic Electronics for Automation Engineering Student Name:Mr.ThanikKittisattayakulStudent ID: 53010690 Program: Automation Engineering Homework no.: 2 Date of Assignment: May 31, 2011 Date of Submission: June 5, 2011

  2. ลอจิกเกตพื้นฐาน (BASIC LOGIC GATES) เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคำนวณเลข และอุปกรณ์ทางดิจิตอลมากมายที่สามารถทำงานให้กับมนุษย์ ได้อย่างน่าอัศจรรย์นั้น ล้วนประกอบขึ้นจากออุปกรณ์และวงจรทางดิจิตอล ที่มีการทำงานในลักษณะของลอจิกและวงจรดิจิตอลนั้น จะมีส่วนประกอบพื้นฐาน คือ ลอจิกเกต (Logic gate) ซึ่งจะมีการทำงานเหมือนระบบ เลขไบนารี่ (มีเลข 0 กับเลข 1) ดังนั้น บุคคลทีต้องทำงานหรือเกี่ยวข้องกับระบบดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจและใช้งานได้อย่างถูกต้องของการทำงานแบบไบนารี่ของลอจิกเกต (logic gate) ในส่วนนี้จะศึกษาการทำงานของลอจิกเกตพื้นฐาน เช่น AND, OR, NOT, NOR และ NAND เพื่อเป็นพื้นฐาน ในการสร้างวงจรลอจิกที่ซับซ้อนต่อไป

  3. การกระทำทางลอจิกพื้นฐานการกระทำทางลอจิกพื้นฐาน สำหรับตัวแปรลอจิกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เราสามารถนำมากระทำกันด้วยตัวกระทำทางลอจิกพื้นฐาน มี 3 แบบ คือ 1. การคูณทางลอจิก เรียกว่า การคูณแบบ AND หรือ การกระทำ AND มีสัญลักษณ์ คือ เครื่องหมายคูณแบบจุด (.) 2. การบวกทางลอจิก เรียกว่า การบวกแบบ OR หรือ การกระทำ OR มีสัญลักษณ์ คือ เครื่องหมายบวก (+) 3. การคอมพลีเมนต์ทางลอจิก หรือการกลับค่า เรียกว่า การกระทำ NOT มีสัญลักษณ์คือขีดบน ( - )

  4. การกระทำ AND ถ้ากำหนดให้ A และ B แทนตัวแปรอินพุตทั้งสอง ถ้าตัวแปร A มากระทำแบบ AND กับตัวแปร B ได้ผลลัพธ์ เป็X ทำให้เขียนสมการ ลอจิก (ทางด้านเอาต์พุต x) ได้ดังนี้X = A.B จากสมการลอจิก เครื่องหมาย ( . ) ก็คือการคูณแบบ AND ซึ่งสามารถเขียนตารางความจริงและสัญลักษณ์ได้ดังรูปเมื่อพิจารณาจากตารางความจริง จะเห็นว่าการคูณแบบ AND เหมือนกับการคูณทางพีชคณิตธรรมดา เมื่อใดก็ตามที่ A และ B เป็น 0 จะได้ผลคูณเป็น 0 แต่ถ้า A และ B เป็น 1 จะได้ผลคูณเป็น 1 ดังนั้นจากเหตุผลดังกล่าว เราสามารถสรุปได้ว่า การกระทำแบบ AND นั้น จะได้ผลคูณ เป็น 1 ก็ต่อเมื่อ อินพุตทั้งหมดจะต้องเป็น 1 สำหรับกรณีอื่นๆ นอกจากนี้ จะได้ผลลัพธ์เป็น 0 จากสมการ X = A.B อ่านว่า "X" เท่ากับ A AND B สำหรับเครื่องหมายคูณนั้น เราสามารถเขียนใหม่ให้เหมือนพีชคณิตธรรมดาจะได้ X = AB เนื่องจากว่าการกระทำแบบแอนเหมือนกับการคูณทางพีชคณิตธรรมดานั่นเอง ถ้าเราจะให้ระดับลอจิกที่อินพุตควบคุม (ก็คืออินพุต B) เป็น 0 จะทำให้เอาต์พุต เป็น 0 สภาวะการทำงานในลักษณะนี้เรียกว่า Inhibit Condition แต่ถ้าเราให้อินพุตควบคุม (B) เป็น 1 ก็สามารถทำให้รูปคลื่น A ออกไปที่เอาต์พุตได้ เราเรียกลักษณะการทำงานนี้ว่า Enable Condition ตารางความจริงและสัญลักษณ์ของ AND Gate

  5. การกระทำ OR กำหนดให้ A และ B แทนตัวแปรอินพุตทั้งสอง ถ้าตัวแปร A มากระทำแบบ OR กัน กับตัวแปร B ได้ผลลัพธ์เป็น X ทำให้สามารถเขียน สมการลอจิก (ทางเอาต์พุต) ได้ดังนี้ X = A+B จากสมการลอจิก เครื่องหมาย + ไม่ใช้เป็นการบวกเลขแบบธรรมดา แต่จะเป็นการบวกแบบ OR ซึ่งสามารถเขียนเป็นกฎเกณฑ์ได้ตามตารางความจริง จากตารางความจริง จะเห็นว่าเหมือนกับการบวกเลขธรรมดา เช่น 0+0=0, 0+1=1, 1+0=1, ยกเว้นในกรณีเมื่อ A = B = 1 จะได้ผลบวกเป็น 1+1=1 (ไม่ใช่เป็น 2 เหมือนกับการบวกเลขแบบธรรมดา) ดังนั้นเราสามารถสรุปได้ว่าการบวกแบบ OR จะให้ผลลัพธ์ ที่เอาต์พุตเป็น 1 ก็ต่อเมื่อ ตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งที่อินพุตเป็น 1 และจะให้ผลลัพธ์ที่เอาต์พุตเป็น 0 ก็ต่อเมื่อตัวแปรที่อินพุตทั้งหมด เป็น 0เท่านั้น จากสมการลอจิก X=A+B อ่านว่า "X" เท่ากับ A OR B สิ่งที่สำคัญก็คือ เครื่องหมาย + หมายถึงการบวกแบบ OR ไม่ใช่การบวกเลขแบบธรรมดา ตารางความจริงและสัญลักษณ์ของ OR Gate

  6. การกระทำ NOT ตัวกระทำ NOT ไม่เหมือนตัวกระทำ OR และ AND ตรงที่ตัวกระทำ NOT ใช้กับตัวแปรอินพุตเดียว เช่น ถ้าให้ A แทนตัวแปรที่ป้อนอินพุต ของตัวกระทำ NOT และได้ผลลัพธ์เป็น X ทำให้เขียนสมการลอจิก (ทางเอาต์พุต X) ได้ดังนี้ X=ซึ่งสัญลักษณ์ขีด (bar) บนตัว A จะแทนการกระทำ NOT สมการ X = อ่านว่า "X" เท่ากับ NOT A หรือ "X" เท่ากับส่วนกลับของ A หรือ "X" เท่ากับคอมพละมนต์ของ A หรือ "X" เท่ากับ A bar จากตารางความจริง จะเห็นได้ว่าลอจิกทางเอาตะพุต ของ X = จะมีค่าตรงข้ามกับขอจิกทางอินพุตของ A เช่น ถ้า A = 0, X = เพราะ NOT 0 คือ 1 ถ้า A = 1, X = เพราะ NOT 1 คือ 0 สัญลักษณ์ของตัวกระทำ NOT (NOT Gate) หรืออินเวอร์เตอร์ (Inverter) ซึ่งจะมีอินพุตเพียงอันเดียว และค่าระดับลอจิกทางเอาต์ พุตจะตรงกันข้ามกับค่าระดับลอจิกทางด้านอินพุตเสมอ ตารางความจริงและสัญลักษณ์ของ NOT Gate

  7. เกตนอร์ (NOR Gate) สัญลักษณ์ของ NOR Gate ที่มี 2 อินพุต ซึ่งการกระทำของ NOR Gate จะมีค่าเท่ากับการนำ OR Gate มาต่อร่วมกันกับ NOT Gate ดังนั้นจึงเขียนสมการสำหรับเอาต์พุตของ NOR Gate ได้ดังนี้ X = จากสมการลอจิกจะเห็นว่า NOR Gate มีการกระทำแรกเป็นการกระทำ OR ของอินพุตและการกระทำ NOT บนผลบวกแบบ OR เป็นการกระทำที่สอง สำหรับสัญลักษณ์ของ NOR Gate จะจำง่าย เพราะจะใช้สัญลักษณ์ของ OR Gate ร่วมกับวงกลมเล็กที่ปลายเอาต์พุต วงกลมเล็กนี้แสดงการกระทำ NOT (การกลับค่า) จากตารางความจริงของ NOR Gate จะเห็นว่าเอาต์พุตของเกต NOR ในแต่ละกรณีจะมีค่ากลับกันกับเอาต์พุตของเกต OR กล่าวคือ เอาต์พุตของเกต OR จะมีค่า High ก็ต่อเมื่ออินพุตใดๆ มีค่า High แต่เกต NOR มีเอาต์พุตเป็น Low เมื่ออินพุตใดๆ เป็น High ตารางความจริงและสัญลักษณ์ของ NOR Gate

  8. AND Gates vs. NOR Gates เมื่อกำหนดตัวแปร A และB ให้มีค่าต่างๆตามตารางจะพบว่า outputที่ได้จะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

  9. วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น (Half Wave Rectifier) วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น จะเป็นวงจรที่ทำหน้าที่ตัดเอาแรงดันไฟสลับที่ ป้อนเข้ามา อาจเป็นครึ่งบวกหรือครึ่งลบแล้วแต่การจัดวงจรไดโอด แรงดันที่ส่งออกเอาท์พุทจะเป็นช่วงๆ คือ ช่วงมีแรงดันและช่วงไม่มีแรงดันสลับกันไป วงจรประกอบด้วยไดโอดตัวเดียวดังรูปการทำงานของวงจร ไฟกระแสสลับจะมาปรากฏที่ขาแอโนด โดยไดโอดจะยอมให้กระแสไหลผ่านได้ทางเดียว คือช่วงที่ได้รับไบอัสตรง ดังนั้นวงจรจะมีกระแสไหลเพียงช่วงบวกของไฟสลับเท่านั้น ถ้าช่วงลบจะไม่มีกระแสไหล แรงไฟตรงที่เอาท์พุทนี้ยังนำไปใช้งานในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้ เพราะเป็นไฟตรงที่ไม่เรียบพอ (Pulse D.C) จึงต้องมีการกรอง (Filter) ให้เรียบโดยใช้ตัวเก็บประจุทำหน้าที่กรอง

  10. วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น (Full Wave Rectifier) วงจรเรียงกระแสเต็มคลื่น จะสามารถเรียงแรงดันไฟสลับให้ออกเอาท์พุทได้ทั้งช่วงบวกและ ช่วงลบของแรงดันไฟสลับที่ ป้อนเข้ามาที่อินพุทของวงจร โดยไม่มีส่วนใดของแรงดันไฟสลับถูก ตัดทิ้งไป ลักษณะของวงจรจะใช้ไดโอด 2 ตัว ทาหน้าที่แปลงสัญญาณไฟสลับเป็นสัญญาณไฟตรง โดยมีหม้อแปลงไฟฟ้าแบบมีแท็ปกลาง (Center Trap) ทาหน้าที่แบ่งเฟสให้เกิดการต่างเฟสกัน 180 องศา ระหว่างสัญญาณที่ออกจากส่วนบนและส่วนล่างของขดทุติยภูมิของหม้อแปลงเพื่อให้ไดโอด ทั้ง 2 ตัวสลับกันทางาน ดังนั้นวงจรจึงสามารถจ่ายกระแสได้เรียบและสูงกว่าวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น VDC (full wave) = 0.636 VP

  11. ข้อแตกต่างของ Half และ Full wave rectifier วงจรฮาล์ฟเวฟจะสามารถจ่ายกระแสให้กับกับโหลด ได้เพียงในช่วงไซเคิลที่เป็นบวกเท่านั้น ดังนั้นวงจรนี้จึงใช้จ่ายกระแสให้โหลดได้ไม่เต็มที่นัก แต่ข้อเสียของวงจรฮาล์ฟเวฟเรคติไฟเออร์สามารถแก้ไขได้ โดยการใช้วงจรที่เรียกว่า วงจรฟูลเวฟเรคติไฟเออร์ วงจรนี้จะต้องใช้ไดโอด 2 ตัวในวงจร เพื่อจะให้ไดโอดเกิดการนำกระแสตัวละครึ่งไซเคิลของไฟฟ้ากระแสสลับ ดังนั้นวงจรจะสามารถจ่ายกระแสไฟตรงได้เรียบ และจ่ายกระแสได้สูงกว่าแบบวงจรฮาล์ฟเวฟเรคติไฟเออร์ด้วย

  12. วงจรคลิปเปอร์และแคลมป์เปอร์ (Clipper and Clamper Circuits) เป็นวงจรที่ใช้สำหรับการปรับแต่ง waveform ของสัญญาณโดยการตัดสัญญาณบางส่วนและปรับ ระดับ DC ของสัญญาณโดยใช้วงจร Clipper และClamper ตามลำดับ การตัดระดับแรงดันส่วนเกินสามารถทำได้โดยใช้วงจรคลิปเปอร์ แต่ถ้าหากต้องการเพิ่ม หรือยกระดับแรงดันสามารถทำได้โดยใช้วงจรแคลมป์เปอร์

  13. วงจรคลิปเปอร์(Clipper Circuit) วงจร Clipper บางครั้งเรียกว่าวงจรจากัดระดับ (limiter circuit) ใช้ในการตัดสัญญาณที่สูงหรือต่ำกว่าระดับอ้างอิง ประโยชน์ คือ ใช้สาหรับควบคุมแรงดันที่เข้าสู่วงจรให้อยู่ในระดับที่ไม่ทำลายหรือสร้างความเสียหายแก่วงจรทางไฟฟ้าถัดมา วงจร clipper ใช้ไดโอดตัดสัญญาณบางส่วนออกโดยสัญญาณส่วนที่เหลือมีลักษณะเหมือนเดิมวงจร clipper มีอยู่ 2 ประเภท • Series clipper จะต่อไดโอดอนุกรมกับขั้ววัด voแบ่งได้ 2แบบคือSimple: ไม่ต่อไฟตรงอนุกรมกับไดโอด Biased: ต่อไฟตรงอนุกรมกับไดโอด • Parallel clipper จะต่อไดโอดขนานกับขั้ววัด voแบ่งได้ 2แบบคือ • Simple: ไม่ต่อไฟตรงอนุกรมกับไดโอด Biased: ต่อไฟตรงอนุกรมกับไดโอด

  14. ลักษณะของการตัดสัญญาณวงจรลักษณะของการตัดสัญญาณวงจร Clipper Circuit

  15. Series clipper จะต่อไดโอดอนุกรมกับขั้ววัด vo SimpleSeries Clipper BiasedSeries Clipper • Parallel clipper จะต่อไดโอดขนานกับขั้ววัด vo SimpleParallel Clipper BiasedParallel Clipper

  16. Clamper Circuits • วงจรเปลี่ยนระดับแรงดันอ้างอิงสัญญาณ ลักษณะสำคัญของClamper คือจะเปลี่ยนแรงดันอ้างอิง สูงขึ้น หรือ ต่ำลง • แต่ค่าVp-p Input จะเท่ากับVp-p Output เสมอ • ส่วนประกอบวงจร Clamper • Silicon / Ideal Diodes • Resistor • Ideal Capacitor • Ideal Capacitor คือ C ขนาด ใหญ่มากๆ อัดประจุไม่จำกัด เมื่ออัดประจุ เต็มแล้ว จะรักษาประจุไว้ให้แรงดันคงที่

  17. กราฟแสดงลักษณะการเปลี่ยนระดับแรงดันอ้างอิงสัญญาณ Clamper Circuits

  18. Clamper Circuits Ideal 1. หาเงื่อนไขไดโอด ON นำกระแสอัดประจุ C - Assume Vc = 0 (Initial) - Diode On เมื่อ vi > 0V 2. เขียนวงจรหา Vcว่าถูก Charge ที่แรงดันสูงสุดกี่โวลท์ ได้Vc = V - C ทำหน้าที่เก็บแรงดันคงที่ - Diode เป็นสวิทช์ให้กระแสไหลอัดประจุ

  19. Clamper Circuits 3. เมื่อ C ถูกอัดเต็มที่แล้ว ไดโอดจะ OFF เนื่องจาก Vcออกแรงต้านกระแสในวงจร ( vD≤ 0V ) คิด Ideal C  Vc= ค่าคงที่ไดโอดจะไม่ ON อีก KVL หาสมการ vo : vo = vi–Vc = vi–V 0 ref Vp-p = 2V Vp-p = 2V -Vref

More Related