1 / 130

การกระทำที่เป็นละเมิด

พระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539. การกระทำที่เป็นละเมิด. ป.พ.พ. มาตรา 420 บัญญัติไว้ว่า

Download Presentation

การกระทำที่เป็นละเมิด

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. พระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539

  2. การกระทำที่เป็นละเมิดการกระทำที่เป็นละเมิด ป.พ.พ. มาตรา 420 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายจนถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

  3. กรณีที่จะเป็นละเมิดได้จะต้องเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย กระทำโดยจงใจ จงใจทำให้เสียหาย เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตน ถ้ารู้ว่าการกระทำนั้น จะเกิดผลเสียหายแก่เขาแล้ว ถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจ ส่วนจะเสียหายมากหรือน้อยเพียงใดไม่สำคัญ

  4. ในกรณีที่กระทำโดยสุจริต แต่เข้าใจผิดในข้อเท็จจริง ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจ จงใจ เทียบกับคำว่า เจตนา “เจตนา”ตาม ป.อาญา ม.59 บัญญัติว่า “กระทำโดยเจตนา” ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึก ในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

  5. เจตนาทางอาญา 1. เจตนาประสงค์ต่อผล 2. เจตนาย่อมเล็งเห็นผล

  6. เจตนาประสงค์ต่อผล รู้ถึงผลเสียหายที่จะเกิดแก่เขา และผู้กระทำประสงค์จะให้เกิดผลขึ้นด้วย ใกล้เคียงกับคำว่า “จงใจ” คือ ผู้กระทำรู้ว่าความเสียหายจะเกิดแก่เขาเหมือนกัน ส่วนผลเสียหายจะเกิดมากหรือน้อยก็ถือว่าเป็นจงใจหมด เจตนาประสงค์ต่อผลในทางอาญา ผลเกิดมากกว่า ที่ประสงค์ไว้ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องประสงค์ต่อผล

  7. เจตนาย่อมเล็งเห็นผล ผู้กระทำไม่ประสงค์ต่อผล แต่ได้ฝืนกระทำไป ทั้งๆ ที่เห็นว่าผลจะเกิด แต่ผู้กระทำไม่ไยดีในผล

  8. การกระทำโดยประมาทเลินเล่อการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ การกระทำโดยไม่จงใจ แต่ผู้กระทำ ได้กระทำโดยขาดความระมัดระวัง ตามสมควร

  9. ประมาท ตาม ป.อาญา ม.59 วรรค 4 กระทำโดยประมาท กระทำความผิดมิใช่เจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้อง มีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ ให้เพียงพอไม่

  10. ประมาทเลินเล่อในทางแพ่งประมาทเลินเล่อในทางแพ่ง การกระทำที่ขาดความระมัดระวังตามสมควร สมควร=กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้น แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

  11. ในภาวะเช่นนั้น บุคคล การวินิจฉัย วิสัย พฤติการณ์

  12. บุคคล คนที่ประมาทเลินเล่อ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนหนุ่ม คนแก่ คนพิการ คนขับรถเป็น คนขับรถไม่เป็นแล้วไปขับรถ ความระมัดระวังย่อมแตกต่างกัน

  13. การวัดความระมัดระวังของบุคคลที่กระทำละเมิดว่าประมาทเลินเล่อหรือไม่ จะต้องคำนึงถึง เพศ อายุ ฐานะ

  14. ในภาวะเช่นนั้น บุคคลที่อยู่ในภาวะเดียวกับผู้กระทำ โดยเทียบดูว่า บุคคลทั่วไปหรือวิญญูชนที่อยู่ในภาวะเช่นนั้นควรใช้ความระมัดระวังแค่ไหน

  15. วิสัย ลักษณะที่เป็นอยู่ของบุคคลผู้กระทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย เช่น วิสัยเด็กต้องซุกซน คนพิการทางกายหรือใจทำอะไรบางอย่างเหมือนคนปกติไม่ได้

  16. พฤติการณ์ ข้อเท็จจริงที่ประกอบการกระทำของผู้กระทำให้เกิดความเสียหาย นอกจากคำนึงถึงบุคคลในภาวะที่เกิดขึ้นและวิสัยของผู้นั้นแล้ว จะต้องดูพฤติการณ์ภายนอกประกอบด้วย เช่นการขับรถ ถนนเรียบขับได้ตรง ปกติ นิ่ง ถนนมีหลุมพยายามหลบหลีก หากหลบไม่ได้ก็โยกคลอน ถนนลูกรัง มีฝุ่นฟุ้ง ก้อนหินดีดกระเด็น ที่สว่าง มองเห็นได้ชัด ที่มืด มองอะไรไม่เห็น

  17. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 คำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใดๆ อันอาจจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี ไม่มีใคร จะอาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือ ใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวัง ตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้น ในฐานะเช่นนั้น

  18. มาตรา 4 “เจ้าหน้าที่” ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่นไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้ง ในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด

  19. “หน่วยงานของรัฐ”กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรมราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติด้วย

  20. มาตรา5 หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรงแต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง

  21. มาตรา6 ถ้าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่ การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้

  22. มาตรา7 ในคดีที่ผู้เสียหายฟ้องหน่วยงานของรัฐ ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่าเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดหรือต้องร่วมรับผิด หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมีสิทธิขอให้ศาลที่พิจารณาคดีนั้นอยู่เรียกเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐแล้วแต่กรณีเข้ามาเป็นคู่ความในคดี

  23. ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ที่ถูกฟ้องมิใช่ผู้รับผิดให้ขยายอายุความฟ้องร้องผู้ที่ต้อง รับผิด ซึ่งมิได้ถูกเรียกเข้ามาในคดีออกไปถึง6 เดือนนับแต่วันที่คำพิพากษานั้นถึงที่สุด

  24. มาตรา8 ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง

  25. ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง การประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละกรณีไป ความประมาทเลินเล่อ การกระทำที่มิใช่โดยเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผล แต่เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์

  26. ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง บุคคลได้กระทำลงไปโดยขาดความระมัดระวัง ที่เบี่ยงเบนไปจากเกณฑ์มาตรฐานอย่างมาก เช่น คาดเห็นได้ว่าความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้หรือหากระมัดระวังสักเล็กน้อยก็คงได้คาดเห็นการอาจเกิดความเสียหายเช่นนั้น

  27. สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะมีได้เพียงใดให้คำนึงถึงระดับความร้ายแรง แห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์ โดยมิต้องให้ใช้เต็มจำนวนของความเสียหายก็ได้

  28. ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือ ความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ หรือระบบการดำเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าว ออกด้วย

  29. ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคนมิให้นำหลักเรื่องลูกหนี้ ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคน ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะส่วนของตนเท่านั้น

  30. มาตรา11 ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดตามมาตรา 5 ผู้เสียหายจะยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตนเองก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคำขอให้ไว้เป็นหลักฐานและพิจารณาคำขอนั้นโดยไม่ชักช้าเมื่อหน่วยงานของรัฐ

  31. มีคำสั่งเช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผล การวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัยให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคำขอที่ได้รับตาม วรรคหนึ่ง ให้แล้วเสร็จภายใน180วันหากเรื่องใด

  32. ไม่อาจพิจารณาได้ทันในกำหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรี เจ้าสังกัดหรือกำกับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและขออนุมัติ ขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณาอนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีก ได้ไม่เกิน 180 วัน

  33. มาตรา9 ถ้าหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย สิทธิที่จะเรียกให้อีกฝ่ายหนึ่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน ให้มีกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ ค่าสินไหมทดแทนนั้นแก่ผู้เสียหาย

  34. มาตรา10 ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นำบทบัญญัติมาตรา 8 มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

  35. สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ทั้งสองประการตามวรรคหนึ่ง ให้มีกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและ รู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนและ กรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าที่ ผู้นั้นไม่ต้อง รับผิดแต่กระทรวงการคลังตรวจสอบแล้วเห็นว่า ต้องรับผิดให้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้น มีกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐ มีคำสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง

  36. มาตรา12 ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงานของรัฐได้ใช้ให้แก่ผู้เสียหายตามมาตรา 8 หรือในกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 10 ประกอบกับมาตรา 8 ให้หน่วยงานของรัฐที่เสียหายมีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นชำระเงินดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนด

  37. คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 157/2546 1. คำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตาม ม. 12 แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เป็นคำสั่ง ทางปกครอง 2. แม้ต่อมา จนท. ของรัฐผู้กระทำละเมิดจะเกษียณอายุไปแล้วก็ตาม หน่วยงานของรัฐสามารถใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 โดยไม่ต้องมีคำบังคับของศาลปกครอง หน่วยงานของรัฐจึงไม่เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

  38. คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 161/2546 1. กรณีที่ผู้บริหาร อบต. กระทำละเมิดต่อ อบต. ผู้เสียหายอาจเป็น อบต. ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลหรือราษฎรในเขต อบต. 2. สมาชิกสภา อบต. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนในเขต อบต. และมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหาร อบต. ฟ้องคดีเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้บริหาร อบต. ที่กระทำละเมิดต่อ อบต. ให้แก่ อบต. จึงเป็นการฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการและอำนาจหน้าที่ของ อบต. จึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีได้

  39. คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 565/2546 1. การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเป็นเพียงขั้นตอนดำเนินงานภายในของฝ่ายปกครอง ยังไม่ก่อ ให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่บุคคลใด จึงยังไม่สามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองได้ 2. คำสั่งตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ที่เกิดจากการกระทำละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม เป็นคำสั่งทางปกครอง

  40. 3. เมื่อคำสั่งตาม (2) ข้างต้น เป็นคำสั่งทางปกครอง ดังนั้น จึงต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ก่อนนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

  41. กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชี้มูลความผิดของ อปท. 1. อำนาจหน้าที่ของ สตง. ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 25421.1 มาตรา 44 สรุปได้ว่า กรณีที่ คกก. ตรวจเงินแผ่นดินพิจารณาผลการตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีข้อบกพร่อง เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติ ครม. ให้ คกก. มีหนังสือแจ้งให้หน่วยรับตรวจชี้แจงหรือแก้ไขข้อบกพร่อง หรือปฏิบัติให้ถูกต้อง หรือให้ดำเนินการตามกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนที่ราชการหรือหน่วยรับตรวจกำหนดไว้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยรับตรวจ ซึ่งเป็น

  42. ผู้รับผิดชอบตามควรแก่กรณี และให้หน่วยรับตรวจแจ้งผลการดำเนินการให้ คกก. ทราบภายใน 60 วัน เว้นแต่ คกก. จะกำหนดเป็นอย่างอื่น ถ้าผู้รับตรวจไม่ดำเนินการตามวรรคหนึ่งโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ คกก. แจ้งต่อกระทรวงเจ้าสังกัดหรือผู้ควบคุมกำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจดำเนินการตามกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนที่ราชการหรือหน่วยรับตรวจกำหนดแก่ผู้รับตรวจ และเจ้าหน้าที่หน่วยรับตรวจผู้รับผิดชอบตามควรแก่กรณี ซึ่งในกรณีที่มีข้อโต้แย้งไม่อาจดำเนินการตามมาตรานี้ได้ ให้ คกก. รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี

  43. 1.2 มาตรา 46 สรุปได้ว่า ในกรณีที่ คกก. ตรวจเงินแผ่นดินพิจารณาผลการตรวจสอบแล้วปรากฏว่า มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นการทุจริตหรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินหรือทรัพย์สินของทางราชการให้ คกก. แจ้งต่อ พงส. เพื่อดำเนินคดี และให้ คกก. แจ้งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ผู้รับตรวจ หรือกระทรวงเจ้าสังกัด หรือผู้บังคับบัญชา หรือ ผู้ควบคุมกำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจ แล้วแต่กรณี ดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนของทางราชการ หรือที่หน่วยรับตรวจกำหนดไว้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้วย

  44. 1.3 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเร่งรัดติดตามเกี่ยวกับกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต พ.ศ. 2546 ข้อ 6 สรุปได้ว่า เพื่อประโยชน์ของทางราชการที่จะให้การดำเนินการเป็นไปโดยรวดเร็ว ในกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจพบว่าหน่วยงานของรัฐแห่งใดมีกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตและชี้มูลความผิดแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวดำเนินการให้มีการชดใช้เงินหรือทรัพย์สินคืน รวมทั้งดำเนินการทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน หาข้อเท็จจริง

  45. 1.4 ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เรื่องเสร็จที่ 411/2543 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ในกรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชี้มูลความผิด (หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0313.6/ว 2717 ลว. 21 ก.ย. 2543) สรุปได้ว่า เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจพบว่ามีเงินขาดบัญชีในหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ทุจริต หน่วยงานของรัฐที่เสียหายจะต้องดำเนินการตามมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2539 ซึ่งได้กำหนดให้กระทรวง ทบวง กรม เทศบาล สุขาภิบาล และรัฐวิสาหกิจ

  46. เร่งรัดการดำเนินคดีอาญา คดีแพ่ง และวินัยแก่เจ้าหน้าที่ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบชี้มูลความผิดโดย ไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงอีก เพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นจากการขาดอายุความและอื่น ๆ เว้นแต่ความรับผิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่ต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ได้กำหนด

  47. หลักเกณฑ์ ขั้นตอน การพิจารณาว่า เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดจะต้องรับผิดหรือไม่ ถ้าต้องรับผิดจะรับผิดอย่างไร และนอกจากนี้ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์การเร่งรัดการดำเนินคดีกับผู้กระทำละเมิดมิให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากคดีขาดอายุความไว้แล้ว

  48. 1.5 คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 111/2544 สรุปได้ว่า คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 หลายประการ กล่าวโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องคดีนี้ เช่น มาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 มาตรา 45 และมาตรา 46 แต่อำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก็เพียงแต่ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วแจ้งผลการตรวจสอบให้หน่วยงานของรัฐผู้รับการตรวจสอบทราบ

  49. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนต่อไปเท่านั้น มิได้มีผลบังคับเด็ดขาดให้ผู้รับการตรวจต้องปฏิบัติ ตามผลการตรวจสอบที่ได้รับแจ้งจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หรือที่ 2 แต่อย่างใด ดังนั้น มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามที่กล่าวมาในคำฟ้อง ถึงหากจะมีขึ้นจริงก็ไม่มีผลบังคับให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ต้องดำเนินการกับผู้ฟ้องคดีตามมตินั้นการจะดำเนินการกับผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเรื่องที่บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน) จะพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่า

  50. มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามคำฟ้อง เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง และมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ให้จำหน่ายคดีออกจาก สารบบความนั้น เป็นการชอบแล้ว

More Related