1 / 38

203232 Electroanalytical Chemistry

203232 Electroanalytical Chemistry. Assoc. Prof. Dr. Jaroon Jakmunee SCB2324 E-mail: jakmunee@gmail.com. โวลแทมเมตรี ( Voltammetry). เนื้อหากระบวนวิชา จำนวนชั่วโมง 1. เซลล์อิเล็กโทรไลติกและโพลาไรเซชัน 1

long
Download Presentation

203232 Electroanalytical Chemistry

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 203232Electroanalytical Chemistry Assoc. Prof. Dr. Jaroon Jakmunee SCB2324 E-mail: jakmunee@gmail.com

  2. โวลแทมเมตรี (Voltammetry) เนื้อหากระบวนวิชาจำนวนชั่วโมง 1. เซลล์อิเล็กโทรไลติกและโพลาไรเซชัน 1 2. ภาพรวมเกี่ยวกับเทคนิคโพลาโรกราฟีและโวลแทมเมตรี 2 2.1 หลักการและวิชาการเครื่องมือ 2.2 การขนถ่ายมวลสาร 3. โพลาโรกราฟีกระแสตรง (Direct current polarography) 1 4. พัลส์โพลาโรกราฟี/โวลแทมเมตรี 2 > Quiz 1 5. สทริปปิงโวลแทมเมตรี 2 6. ไซคลิกโวลแทมเมตรี 1 > Report 1 7. กรณีศึกษาที่เป็นการประยุกต์เทคนิคโวลแทมเมตรี 1 > Final exam รวม 10

  3. คาบที่ 1 - หัวข้อที่จะเรียน • ทำความเข้าใจไฟฟ้า และ ค่าต่างๆ ทางไฟฟ้า • โพลาไรเซชันทางไฟฟ้า (electrical polarization) • เซลล์ไฟฟ้าเคมีชนิดอิเล็กโทรไลติก • ศักย์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องในเซลล์อิเล็กโทรไลติก • จลนศาสตร์ของปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี • ขั้วไฟฟ้าชนิดโพลาไรซ์ได้และชนิดนอนโพลาไรซ์

  4. ภาพรวมเกี่ยวกับไฟฟ้าและค่าทางไฟฟ้าต่างๆภาพรวมเกี่ยวกับไฟฟ้าและค่าทางไฟฟ้าต่างๆ • สนามไฟฟ้า • ศักย์ไฟฟ้า • กระแสไฟฟ้า • พลังงานไฟฟ้า • ความต้านทาน • ประจุและปริมาณไฟฟ้า • ความจุไฟฟ้า+การเก็บประจุ • เครื่องใช้ไฟฟ้า - การเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานรูปแบบอื่น

  5. สนามไฟฟ้า vs สนามโน้มถ่วง 220 V PE = mgh I = coulomb/s heat h E = qV (J) P = IV (J/s) Release energy 0 V

  6. ภาพรวมเกี่ยวกับไฟฟ้าและค่าทางไฟฟ้าต่างๆภาพรวมเกี่ยวกับไฟฟ้าและค่าทางไฟฟ้าต่างๆ • สนามไฟฟ้า • ศักย์ไฟฟ้า • พลังงานไฟฟ้า • กระแสไฟฟ้า • ความต้านทาน • ประจุและปริมาณไฟฟ้า • ความจุไฟฟ้า+การเก็บประจุ • V = J/C • W = J • A = C/s • P = IV (J/s) • R =V/I • Etc.

  7. โพลาไรเซชันทางไฟฟ้า • คือ ความมีขั้ว หรือมีความแรงของสนามไฟฟ้ามากขึ้น • คือ มีศักย์ไฟฟ้าสูงขึ้น (ทางบวก หรือทางลบ) • คือ การที่ขั้วไฟฟ้ามีศักย์ไฟฟ้าต่างไปจากศักย์ตามธรรมชาติของมัน (ซึ่งระบุโดยสมการเนินสท์) เนื่องจากได้รับสนามไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟฟ้า • คือ การที่อิเล็กตรอนในขั้วไฟฟ้ามีพลังงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากอยู่ภายใต้สนามไฟฟ้าที่มีความแรงต่างไปจากเดิม (ศักย์ของขั้วไฟฟ้าเปลี่ยน) • ทราบได้โดยการวัดศักย์ไฟฟ้า เทียบกับขั้วไฟฟ้าอ้างอิง

  8. เซลล์ไฟฟ้าเคมีชนิดอิเล็กโทรไลติกเซลล์ไฟฟ้าเคมีชนิดอิเล็กโทรไลติก • ให้ศักย์ไฟฟ้าจากภายนอกแก่เซลล์ไฟฟ้า • เกิดปฏิกิริยาตรงข้ามกับกัลวานิกเซลล์ • ศักย์ไฟฟ้าที่ต้องให้จะมากกว่าศักย์ของกัลวานิกเซลล์เสมอ Minimum decomposition potential, Ed

  9. ศักย์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องในเซลล์อิเล็กโทรไลติก Ed = Erev + EIR + EC + Ea • Erev = ศักย์ไฟฟ้าที่ต้องใช้เพื่อต้านศักย์ไฟฟ้าของเซลล์กัลวานิกซึ่งมีค่าเท่ากับ ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ที่จุดสมดุล (reversible cell potential) จะมีค่าศักย์ไฟฟ้าเท่ากับที่วัดได้จากเทคนิคโพเทนชิออเมตรี • EIR = Ohmic drop หรือ IR drop เป็นศักย์ที่ตกคร่อมความต้านทานของอิเล็กโทรไลต์ในเซลล์(ความต้านทานหรือความนำไฟฟ้าของเซลล์วัดได้โดยเทคนิคการวัดความนำไฟฟ้า) • EC = ศักย์ไฟฟ้าโพลาไรเซชันความเข้มข้น (concentration polarization potential) คือศักย์ไฟฟ้าที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นที่ผิวขั้วไฟฟ้า โดยเมื่อเกิดปฏิกิริยาขึ้นทำให้ความเข้มข้นของสารที่ผิวขั้วไฟฟ้าต่ำกว่าความเข้มข้นในสารละลายส่วนใหญ่ (bulk solution) ทำให้ต้องให้ศักย์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาได้เท่าเดิม • Ea = ศักย์ไฟฟ้าเกินกัมมันต์ (activation overpotential) คือศักย์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับจลนศาสตร์ของปฏิกิริยา โดยต้องให้ศักย์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อเอาชนะพลังงานก่อกัมมันต์ที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาได้

  10. ศักย์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องในเซลล์อิเล็กโทรไลติกศักย์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องในเซลล์อิเล็กโทรไลติก Eapplied = Erev + EIR + EC + Ea Ea คือ ศักย์ไฟฟ้าเกิน ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ทั้ง 2 ขั้ว

  11. การวัดศักย์ไฟฟ้าเกิน หรือการโพลาไรซ์ของขั้วไฟฟ้า • วัดศักย์ไฟฟ้าของขั้ว C เมื่อมีกระแสไหล • วัดอีกครั้งเมื่อไม่มีกระแสไหล •  = E ครั้งที่ 1 – E ครั้งที่ 2 • รูป set up ของเครื่องมือในการวัดศักย์ไฟฟ้าเกิน Tafel’s equation:   =  a  +  b log | i | | i | คือ ขนาดของความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้า (ไม่คิดเครื่องหมาย) มีหน่วยเป็น A/cm2, a และ b คือค่าคงที่

  12. จลนศาสตร์ของปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีจลนศาสตร์ของปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี • (a) เป็นขณะที่ยังไม่มีการให้ศักย์แก่ขั้วไฟฟ้า: อิเล็กตรอนที่ขั้วและออร์บิทัลว่างของสารที่อยู่ในสารละลายมีพลังงานต่างกันเท่ากับ zFE • (b) เมื่อให้ศักย์ไฟฟ้า (ไปทางลบ) เป็นการเพิ่มพลังงานให้อิเล็กตรอนที่ขั้วไฟฟ้าจนขึ้นไปเท่ากับออร์บิทัลว่างของสารในสารละลาย • (c) เมื่อเพิ่มศักย์ไฟฟ้าขึ้นไปอีกเท่ากับศักย์ไฟฟ้าเกิน () จะทำให้อิเล็กตรอนมีพลังงานสูงขึ้น ซึ่งพลังงานส่วนหนึ่งจะลด G# ลงเท่ากับ FE ทำให้ระยะในการทะลุผ่านลดลง ทำให้เกิดปฏิกิริยาได้เร็วขึ้น

  13. สมการที่เกี่ยวข้อง สมการArrhenius: k = A e-Ea/RT; k = rate constant ใช้อธิบายจลนศาสตร์ของปฏิกิริยาเคมี สามารถเขียนสมการสำหรับกรณีปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีได้เป็น กรณีรูป (b) io = C  e-G#/RT กรณีรูป (c) จะมีกระแสไฟฟ้าไหลเท่ากับ i (กระแส แปรผันโดยตรงกับอัตราการเกิดปฏิกิริยา) i= C  e-(G# - FE/RT) = C  e-G#/RT .e FE/RT =  io eFE/RT หรือเขียนอย่างง่ายเป็นi = Ae ซึ่งเมื่อ take log จะได้สมการ Tafel   =  a  +  b log | i | แสดงว่า overpotential เกี่ยวข้องกับจลนศาสตร์ของปฏิกิริยา ถ้ามีค่ามาก แสดงว่ามีพลังงานกระตุ้นหรือกำแพงพลังงานในการเกิดปฏิกิริยาสูง

  14. ข้อดี-ข้อเสียของ overpotential ศักย์ไฟฟ้าเกินทำให้เกิดปฏิกิริยายากขึ้นต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาได้ผลิตผลเท่าเดิม เรียกว่ามี energy efficiency ต่ำลง ตัวแปรที่มีผลต่อ : -ชนิดขั้วไฟฟ้า, ความขรุขระของผิวขั้ว กระบวนการผลิตอลูมิเนียม พลังงานที่ใช้ = ศักย์ไฟฟ้า x ปริมาณประจุ

  15. ข้อดีของ overpotential Hydrogen overvoltage on Hg electrode การเกิดปฏิกิริยารีดักชันของไฮโดรเจนไอออนไปเป็นแก๊สไฮโดรเจนบนขั้วแพลทินัมจะเกิดที่ 0 โวลต์เทียบกับ NHE แต่บนขั้วปรอท (Hg) จะต้องให้ศักย์เป็นลบมากกว่านี้ (-2 V) จึงจะเกิดปฏิกิริยา ซึ่งช่วงศักย์ 0 ถึง -2V นี้เป็นช่วงที่สารหลายชนิดเกิดรีดักชัน จึงใช้ขั้วปรอทในการศึกษาปฏิกิริยาเหล่านั้นได้โดยไม่มีการรบกวนจาก H+ บนขั้วตะกั่วในแบตเตอรีก็มี Hydrogen overvoltage สูงเช่นกัน แต่ถ้ามีโลหะปนเปื้อน แบตเตอรีจะเสื่อมเพราะชาร์ตไฟไม่เข้าเนื่องจากเกิดปฏิกิริยาของ H+ แทน Pb2+ Lead acid battery

  16. ขั้วไฟฟ้าชนิดโพลาไรซ์ได้และชนิดนอนโพลาไรซ์ขั้วไฟฟ้าชนิดโพลาไรซ์ได้และชนิดนอนโพลาไรซ์ • ขั้วไฟฟ้าโพลาไรซ์(polarized electrode) เมื่อมีการให้ศักย์ไฟฟ้าจากภายนอกแก่ขั้วไฟฟ้าจะทำให้ขั้วไฟฟ้ามีศักย์ไฟฟ้าเปลี่ยนไปตามศักย์ไฟฟ้าจากภายนอกโดยไม่เกิดกระแสไหลผ่านขั้ว ขั้วไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีสมบัติเป็นขั้วโพลาไรซ์ในบางช่วงศักย์ไฟฟ้าเท่านั้น • ขั้วไฟฟ้านอนโพลาไรซ์(nonpolarized electrode) จะเกิดปฏิกิริยาให้กระแสสูงมากเพื่อต้านการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าเมื่อมีการให้ศักย์จากภายนอกเข้าไป

  17. ขั้วไฟฟ้าอ้างอิง-กลไกการเป็นขั้วนอนโพลาไรซ์ขั้วไฟฟ้าอ้างอิง-กลไกการเป็นขั้วนอนโพลาไรซ์ • Saturated calomel electrode (SCE) สามารถรักษาศักย์ไฟฟ้าให้คงที่ได้ แม้จะมีการให้สนามไฟฟ้าจากภายนอก

  18. คาบที่ 2 - หัวข้อที่จะเรียน • ภาพรวมเกี่ยวกับเทคนิคโพลาโรกราฟี และโวลแทมเมตรี • เทคนิคย่อยต่างๆ • เครื่องโวลแทมโมกราฟ และเซลล์ไฟฟ้าที่ใช้ (voltammetric cell) • เซลล์แบบที่ใช้ 2 ขั้ว • เซลล์แบบที่ใช้ 3 ขั้ว และเครื่องควบคุมศักย์ไฟฟ้า (potentiostat)

  19. ภาพรวมเกี่ยวกับเทคนิคโพลาโรกราฟี และโวลแทมเมตรี โวลแทมเมตรี เป็นเทคนิคที่มีการกระตุ้นเซลล์ไฟฟ้าเคมีด้วยการให้ศักย์ไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ กัน แล้ววัดกระแสไฟฟ้าที่เป็นผลมาจากการเกิดปฏิกิริยา โดยขั้วไฟฟ้าทำงาน ซึ่งเป็นขั้วไฟฟ้าชนิดโพลาไรซ์ได้มีการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้า ไปตามความต่างศักย์ภายนอกที่ให้เข้าไปซึ่งจะทำให้สารเคมีในสารละลายของเซลล์สามารถรับ (หรือให้) อิเล็กตรอนที่ขั้วไฟฟ้า นั่นคือ เกิดปฏิกิริยารีดอกซ์ หรือปฏิกิริยาการถ่ายเทอิเล็กตรอน (electron transfer reaction) อิเล็กตรอนข้างต้นจะไหลผ่านวงจรไฟฟ้า ดังนั้นจึงสามารถวัดออกมาเป็นกระแสไฟฟ้าได้ ทำการบันทึกศักย์ไฟฟ้าของขั้วทำงาน และกระแสไฟฟ้าที่วัดได้ที่ศักย์ไฟฟ้านั้น ๆ โดยให้กระแสเป็นแกน y เรียกกราฟนี้ว่า โวลแทมโมแกรม (voltammogram; volt-amp-diagram) หรือ โพลาโรแกรม (polarogram; polarization-diagram) โพลาโรกราฟี หมายถึง เทคนิคที่ใช้ขั้วปรอทหยดเป็นขั้วไฟฟ้าทำงาน (working electrode) โวลแทมเมตรี หมายถึง เทคนิคที่ใช้ขั้วอื่นๆ ที่มีพื้นที่ผิวคงที่เป็นขั้วไฟฟ้าทำงาน

  20. เทคนิคย่อยต่างๆ

  21. เทคนิคย่อยต่างๆ เทคนิคย่อยต่าง ๆ เหล่านี้มีความเหมาะสมในการประยุกต์สำหรับงานวิเคราะห์ด้านต่าง ๆ กัน เช่น สามารถใช้ในการศึกษาปฏิกิริยาเคมีทั้งด้านเทอร์โมไดนามิกส์และจลนศาสตร์ การศึกษากลไกการเกิดปฏิกิริยาเคมี การวิเคราะห์ชนิดและปริมาณของสารที่สนใจในระดับความเข้มข้นต่ำ เป็นต้น

  22. เครื่องโวลแทมโมกราฟ และเซลล์ไฟฟ้าที่ใช้ (voltammetric cell) • เครื่องมือที่ใช้ในเทคนิคนี้ เรียกว่า เครื่องโวลแทมโมกราฟ หรือ โพลาโรกราฟ เซลล์ไฟฟ้าเคมีแบบ 2 ขั้วไฟฟ้า ประกอบด้วยขั้วทำงานและขั้วอ้างอิง ซึ่งมีสมบัติเป็นขั้วโพลาไรซ์และขั้วนอนโพลาไรซ์ ตามลำดับ และมีสารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่ไม่เกิดปฏิกิริยา (inert electrolyte) เพื่อช่วยนำไฟฟ้าหรือช่วยลดความต้านทานของเซลล์ไฟฟ้า • เมื่อเปลี่ยนความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ให้แก่เซลล์ โดยเลื่อนจุดต่อบน linear resistor จะทำให้ขั้ว WE มีศักย์ไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปตามความต่างศักย์ของ power supply - ซึ่งเมื่อถึงศักย์ที่เหมาะสมจะทำให้สารเกิดปฏิกิริยาบนขั้วได้ Cd2+ -0.40 V vs NHE = -0.64 V vs SCE

  23. เซลล์ไฟฟ้าเคมีแบบ 2 ขั้วไฟฟ้า ขั้วอ้างอิงเป็นขั้วชนิดนอนโพลาไรซ์ ดังนั้นจึงมีศักย์คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ความต่างศักย์ไฟฟ้าจากภายนอกที่ให้แก่เซลล์ไฟฟ้าจึงที่ให้ขั้วทำงาน (WE) ถูกโพลาไรซ์หรือมีศักย์เปลี่ยนแปลงไป (อิเล็กตรอนในขั้วมีพลังงานเปลี่ยนไป) Cd2+ -0.40 V vs NHE (-0.64 V vs SCE) -หมายความว่าหากไม่มี overpotentialเกิดขึ้นเลย Cd2+จะรับอิเล้กตรอนจากขั้วไฟฟ้า เมื่อขั้วไฟฟ้ามีศักย์ไฟฟ้าเป็นลบมากกว่า -0.64 โวลต์ ดังนั้นจะวัดกระแสได้ เรียกว่าขั้วไฟฟ้าเกิดการดีโพลาไรซ์ (depolarization) ขั้วไฟฟ้าทำงานจึงมีสมบัติเป็นตัวรีดิวซ์หรือตัวออกซิไดซ์ก็ได้ขึ้นอยู่กับศักย์ขณะนั้น จึงสามารถทำให้สารที่สัมผัสอยู่กับขั้วมารับหรือให้อิเล็กตรอนที่ขั้วและเกิดปฏิกิริยา

  24. เซลล์ไฟฟ้าเคมีแบบ 3 ขั้วไฟฟ้า เซลล์ไฟฟ้าเคมีแบบ 2 ขั้วมีข้อเสีย คือจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขั้วไฟฟ้าอ้างอิงและทำให้เกิดปฏิกิริยาด้วย อายุการใช้งานขั้วอ้างอิงจึงสั้น – แก้ไขโดยเพิ่มขั้วไฟฟ้าช่วย (auxialary electrode, AE) เข้ามาเป็นทางผ่านของกระแส โดยจะประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด

  25. เซลล์ไฟฟ้าเคมีแบบ 3 ขั้วไฟฟ้า • เซลล์ไฟฟ้าเคมีแบบ 2 ขั้วมีข้อเสีย คือจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขั้วไฟฟ้าอ้างอิงและทำให้เกิดปฏิกิริยาด้วย อายุการใช้งานขั้วอ้างอิงจึงสั้น – แก้ไขโดยเพิ่มขั้วไฟฟ้าช่วย (auxialary electrode, AE) เข้ามาเป็นทางผ่านของกระแส โดยจะประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด เซลล์อิเล็กโทรไลติก – WE vs AE (หรือ CE) เซลล์กัลวานิก– WE vs RE ซึ่งขั้วไฟฟ้าช่วยมีสมบัติเป็นขั้วโพลาไรซ์เช่นเดียวกับขั้วทำงาน ความต่างศักย์ที่ให้จึงทำให้ขั้วทั้งสองมีศักย์ไฟฟ้าเปลี่ยนไป ซึ่งเราจะวัดศักย์ไฟฟ้าของขั้วไฟฟ้าทำงานเทียบกับขั้วอ้างอิง เนื่องจากปฏิกิริยาที่เราสนใจจะเกิดขึ้นที่ขั้วทำงาน

  26. เครื่องควบคุมศักย์ไฟฟ้า (Potentiostat) • เพื่อควบคุมศักย์ไฟฟ้าของ WE ให้เป็นไปตามต้องการจึงต้องใช้วงจร potentiostat ดังรูป Ewaveform การทำงานของโพเทนชิออสแตตจะอาศัยสมบัติของ Op Amp ซึ่งมี 3 ข้อหลัก คือ 1. ความต้านทานขาเข้า (input impedance) ทั้งด้านบวกและด้านลบของ Op Amp จะสูงมาก (~1012โอห์ม) จึงถือว่าไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลเข้าทางขาเข้าของ Op Amp 2. ความต้านทานขาออก (output impedance) ของ Op Amp ต่ำ จึงจ่ายกระแสไฟฟ้าทางขาออกได้มาก 3. Op Amp จะทำงานโดยปรับศักย์ไฟฟ้าขาเข้าทั้งสองของมันให้มีค่าเท่ากันโดยจ่ายศักย์ไฟฟ้าออกไปทางขาออก

  27. เครื่องควบคุมศักย์ไฟฟ้า (Potentiostat) Op Amp Bด้วยหลักการข้อ 1 และข้อ 3 Op Amp B จะทำให้ศักย์ไฟฟ้าขาออกเท่ากับศักย์ไฟฟ้าของขั้วไฟฟ้าอ้างอิง (ERE) โดยไม่ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขั้วไฟฟ้าอ้างอิง Ewaveform Op Amp Cจะแปลงกระแสไปเป็นศักย์ไฟฟ้า โดย Eout = -Iin R สามารถปรับอัตราการขยายกระแสโดยเปลี่ยนค่า R จากวงจร Op Amp Aจะได้ว่าEground = Ewaveform+ ERE ซึ่งจากวงจร Op Amp Cจะได้ว่า EWE = Eground ดังนั้น EWE = Ewaveform + ERE หรือ EWE - ERE= Ewaveform

  28. คาบที่ 3 - หัวข้อที่จะเรียน • การใช้งานเครื่องโวลแทมโมกราฟ และสัญญาณที่วัดได้ • กระแสไฟฟ้าที่วัดได้ และ กลไกการเกิดปฏิกิริยา • กระแสการเก็บประจุ (charging current) • การขนถ่ายมวลสาร (mass transfer) • Migration • Convection • Diffusion

  29. การวิเคราะห์โดยเทคนิคโวลแทมเมตรีการวิเคราะห์โดยเทคนิคโวลแทมเมตรี Apply potential waveform WE มีศักย์ไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปตาม potential waveform เกิดปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีที่ WE วัดกระแสไฟฟ้า และ plot voltammogram

  30. จะเกิดปฏิกิริยาที่ศักย์ไฟฟ้าเท่าไรจะเกิดปฏิกิริยาที่ศักย์ไฟฟ้าเท่าไร • การที่ขั้วไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าจะทำให้เกิดปฏิกิริยา electron transfer ได้ • Scan ไปทางบวก – เกิดออกซิเดชัน เรียกว่า anodic scan • Scan ไปทางลบ – เกิดรีดักชัน เรียกว่า cathodic scan • การเพิ่ม/ลดศักย์ไฟฟ้า คือ การทำให้อิเล็กตรอนในขั้วไฟฟ้ามีพลังงานลดลงหรือเพิ่มขึ้น จนสามารถถ่ายเทไปยังออร์บิทอลของสารที่มารับ

  31. กระแสไฟฟ้าที่วัดได้เกิดจาก...กระแสไฟฟ้าที่วัดได้เกิดจาก... กระแสไฟฟ้าเกิดจากการไหลของอิเล็กตรอน ซึ่งเกิดจาก 2 กระบวนการ 1) การเกิดปฏิกิริยา เรียกว่า กระแสฟาราเดอิก (faradaic current, If) 2) เกิดจากการไหลไปเก็บที่ผิวของขั้วไฟฟ้า เรียกว่า กระแสประจุ (charging current, Ic) กระแสที่วัดได้:Imeasured = If + Ic If เท่านั้นที่สัมพันธ์กับปริมาณสารที่เกิดปฏิกิริยา

  32. ชั้นประจุสองชั้น (electrical double layer) • เมื่อมีการให้ศักย์แก่ขั้วไฟฟ้า ก็จะมีสนามไฟฟ้าเกิดขึ้นรอบผิวของขั้วไฟฟ้า ซึ่งจะดึงประจุตรงข้ามเข้ามาหาและผลักประจุเหมือนกันออกไป จะเกิดเป็นชั้นประจุสองชั้นที่ขั้วไฟฟ้าเรียกว่า electrical double layer ซึ่งมีลักษณะและสมบัติเหมือนตัวเก็บประจุ ซึ่งสามารถเก็บประจุ หรือ อิเล็กตรอนไว้ได้ โดยความจุ (capacitance, C) ของตัวเก็บประจุ (หน่วยเป็น farads หรือcoulomb/volt) เป็นไปตามสมการ C = Q/V การเปลี่ยนแปลงศักย์ของขั้วไฟฟ้าจะทำให้มีกระแสไหลมาประจุ หรือคายประจุที่ชั้นประจุสองชั้นดังกล่าว

  33. ตัวแปรที่มีผลต่อความจุของตัวเก็บประจุตัวแปรที่มีผลต่อความจุของตัวเก็บประจุ ด้วยปัจจัยที่กำหนดค่าการเก็บประจุ ได้แก่ พื้นที่ของแผ่นเพลต ระยะห่างระหว่างแผ่นเพลต และชนิดของไดอิเล็กตริก ดังนั้นสามารถเขียนสมการความสัมพันธ์ได้ ดังนี้ โดยที่ C = ค่าการเก็บประจุ มีหน่วยเป็น ฟารัด (F)8.85 x10-12 = ค่าความเพอร์มิตติวิตี (Permittivity) มีหน่วยเป็น ฟารัด/เมตร (F/m)K = ค่าคงที่ไดอิเล็กตริกA = พื้นที่ของแผ่นเพลต มีหน่วยเป็น ตารางเมตร (m2)d = ระยะห่างระหว่างแผ่นเพลต มีหน่วยเป็น เมตร (m)จากสมการจะเห็นว่า ค่าการเก็บประจุเป็นสัดส่วนโดยตรงกับค่าคงที่ไดอิเล็กตริก (K) และพื้นที่ของแผ่นเพลต (A) และเป็นสัดส่วนผกผันกับระยะห่างระหว่างเผ่นเพลต (d)

  34. กระแสฟาราเดอิกถูกจำกัดด้วยการถ่ายเทมวลสารกระแสฟาราเดอิกถูกจำกัดด้วยการถ่ายเทมวลสาร • การเกิดปฏิกิริยาเกี่ยวข้องกับหลายกระบวนการดังรูป ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนคือ การถ่ายเทอิเล็กตรอน (electron transfer) และการถ่ายเทมวลสาร (mass transfer) ซึ่งตามปกติแล้วการถ่ายเทอิเล็กตรอนจะเกิดขึ้นเร็วกว่าการถ่ายเทมวลสารมาก • สำหรับปฏิกิริยาส่วนใหญ่กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะถูกจำกัดด้วยอัตราการถ่ายเทมวลสารสู่ผิวขั้วไฟฟ้า

  35. กระบวนการการขนถ่ายมวลสารกระบวนการการขนถ่ายมวลสาร • Migrationเป็นการเคลื่อนที่อย่างมีทิศทางโดยแรงดึงดูดหรือแรงผลักจากสนามไฟฟ้า: เกิดในกรณีที่สารละลายมีประจุอยู่น้อยมาก แรงจากสนามไฟฟ้าของขั้วสามารถส่งแรงดึงดูดให้ไอออนเคลื่อนเข้ามาหาขั้วไฟฟ้าแล้วเกิดปฏิกิริยาได้ ซึ่งจะให้กระแสไฟฟ้าสูงขึ้นกว่าปกติ เรียกว่า กระแสไฟฟ้าที่เกิดจากกระบวนการนี้ว่า migration current ซึ่งไม่แปรผันโดยตรงกับความเข้มข้นของสารที่เกิดปฏิกิริยา กระแสนี้สามารถลดได้โดยการเติมสารละลายอิเล็กโทรไลต์ให้เข้มข้นมากพอ เพื่อให้ไอออนที่ไม่เกิดปฏิกิริยาลงไปบดบังแรงจากขั้วไฟฟ้าที่จะกระทำต่อไอออนที่สนใจหาปริมาณ รวมทั้งช่วยลดความต้านทานของสารละลาย (ลด IR drop) ด้วย • Convectionเป็นการเคลื่อนที่อย่างสุ่มของมวลสารเนื่องจากมีแรงมากระทำ (เช่น แรงกล หรือความร้อน เป็นต้น) เกิดในเซลล์ไฟฟ้าที่สารละลายไม่นิ่ง (มีการคนสารละลาย) กระแสที่เกิดขึ้นจากการขนถ่ายมวลสารโดยกระบวนการนี้ เรียกว่า convective current ซึ่งไม่แปรผันโดยตรงกับความเข้มข้นสารเช่นกัน แต่จะสัมพันธ์กับอัตราการคนสารละลาย

  36. กระบวนการการขนถ่ายมวลสารกระบวนการการขนถ่ายมวลสาร • Diffusionเป็นการเคลื่อนที่ของมวลสารที่เกิดจากการที่มีความแตกต่างของความเข้มข้นของสารในสองบริเวณ (concentration gradient) ทำให้สารเคลื่อนที่จากที่ที่มีความเข้มข้นสูงไปยังที่ที่มีความเข้มข้นต่ำ (เป็นการเพิ่มเอนโทรปีของระบบ) อัตราการเคลื่อนที่แปรผันโดยตรงกับความแตกต่างของความเข้มข้นเป็นไปตาม Fick’s law ในเซลล์ไฟฟ้าที่สารละลายนิ่งเมื่อสารเกิดปฏิกิริยาที่ขั้วไฟฟ้าความเข้มข้นของสารบริเวณผิวขั้วไฟฟ้าจะลด ลงเข้าใกล้ศูนย์ ทำให้เกิดความแตกต่างของความเข้มข้นขึ้น จากนั้นสารที่อยู่ในบริเวณที่ห่างออกไปจากขั้ว (bulk solution) ซึ่งยังมีความเข้มข้นคงเดิมเหมือนก่อนเกิดปฏิกิริยาจะเคลื่อนที่เข้ามายังผิวขั้วไฟฟ้าโดยกระบวนการแพร่ (diffusion) สารที่แพร่มาถึงจะเกิดปฏิกิริยาหมดในทันที ดังนั้น กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจึงถูกควบคุมด้วยอัตราการแพร่ (diffusion controlled current) หรือเรียกว่า diffusion current (id) Diffusion rate = C/x IdαDiffusion rate α C

  37. สภาวะในการวัดในเทคนิคโวลแทมเมตรีสภาวะในการวัดในเทคนิคโวลแทมเมตรี • ต้องมี supporting electrolyte • ใช้ขั้วไฟฟ้าทำงานขนาดเล็ก และขั้วไฟฟ้าช่วยขนาดใหญ่ • การให้ศักย์และวัดกระแส ทำในสารละลายที่นิ่ง • อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับการเกิดปฏิกิริยาที่ขั้วไฟฟ้าทำงาน ซึ่งจะเป็นขั้นกำหนดอัตรา (rate determining step) – ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราการแพร่ของสารมายังผิวขั้วไฟฟ้า – แปรผันตรงกับความเข้มข้นใน bulk solution • กระแสไฟฟ้า แปรผันโดยตรงกับอัตราการเกิดปฏิกิริยา

  38. ตัวอย่างโวลแทมโมแกรมที่บันทึกได้ตัวอย่างโวลแทมโมแกรมที่บันทึกได้ Half wave potential (E1/2) ใช้วิเคราะห์เชิงคุณภาพ ระบุชนิดสารที่เกิดปฏิกิริยา Limiting current (Il) หรือ diffusion current (Id) ใช้สร้างกราฟมาตรฐานเพื่อหาความเข้มข้น

More Related