400 likes | 512 Views
ยุทธศาสตร์การปรับตัวภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจถดถอย. โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานกรรมการ V-SERVE GROUP รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย. 07-2009-1-ภาพรวม.
E N D
ยุทธศาสตร์การปรับตัวภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจถดถอยยุทธศาสตร์การปรับตัวภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจถดถอย โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานกรรมการ V-SERVE GROUP รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 07-2009-1-ภาพรวม
วิกฤติเศรษฐกิจไทยเกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกIMF ปรับตัวเลขเศรษฐกิจโลก 2009 ขยายตัวร้อยละ 0.50 จากอัตราเฉลี่ยร้อยละ 3.3 (30 ปี) ต่ำสุดนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 • วิกฤติซัพไพร์มในสหรัฐฯ เสียหายเท่าปี 1980 • วิกฤติซัพไพร์มกลายเป็นวิกฤติโลก กระจายไปยัง EU , ญี่ปุ่น , เกาหลี , ประเทศเศรษฐกิจใหม่ และประเทศที่กำลังพัฒนา • การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวและความเชื่อมั่นภาคครัวเรือนของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา • สถาบันการเงินของโลกอยู่ในระหว่างการปรับตัวและปัญหาการขาดทุนจะยืดเยื้อไปจนถึงปี 2010 • IMF วิเคราะห์ว่าการดำเนินนโยบายด้านการคลังและการเงินของสหรัฐฯและประเทศ G7 จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะพื้นตัวได้แบบ “V Shape” โดยปี 2010 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 3
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยล้วนติดลบ??อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยล้วนติดลบ?? 34.7%
สัญญาณครึ่งปีแรก / 2009เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุคชะลอตัวรุนแรง • การหดตัวเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า เศรษฐกิจโลก 0.5-0.90% เศรษฐกิจประเทศ G3 -2.06% พย. 2551 = -17.1% ธค 2551 = -15.7% ปี 2551 = 16.8% (175.3) ปี 2552 ประมาณร้อยละ -12.5 (มูลค่า 153.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ) • การส่งออกที่ชะลอตัว ทั้งจากอุปสงค์และการกีดกันทางการค้า ทุกประเทศจะใช้นโยบายแบบสหรัฐฯ “America Buy” • ตัวเลขคำสั่งซื้อลดลงเหลือ 48-50% • ดัชนีผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (MPI) -18.8% (เดือนธันวาคม 2551) • สัญญาณการชะลอการผลิตและปิดโรงงานเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม
เปรียบเทียบตลาดส่งออกของไทย ช่วงเดือนมกราคม ปี 2551 และ 2552 ที่มา : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออกโดยความร่วมมือของกรมศุลกากร
เปรียบเทียบตลาดส่งออกของไทย ช่วงเดือนมกราคม ปี 2551 และ 2552 ที่มา : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออกโดยความร่วมมือของกรมศุลกากร
อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเกือบทุกสาขา (1)(ธค. 2550 เทียบกับ ธค. 2551) ที่มา : กระทรวงอุตสาหกรรม
อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเกือบทุกสาขา (2)(ธค. 2550 เทียบกับ ธค. 2551) ที่มา : กระทรวงอุตสาหกรรม
อัตราการใช้กำลังการผลิตรายลดลงเกือบทุกสาขา (3)(ธค. 2550 เทียบกับ ธค. 2551) ที่มา : กระทรวงอุตสาหกรรม
ดัชนีเชื่อมั่นการบริโภคหดตัว 47.6 ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) -0.4 ในรอบ 9 ปี • การชะลอการบริโภคเกิดจากการขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ • ราคาสินค้าเกษตรหดตัว 10-15% , อาหารหดตัว 1-3% • อัตราเงินเฟ้อที่ลดอัตรา -0.4 เป็นสัญญาณที่ไม่ดีที่เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ยุคเงินฝืด • รัฐบาลจะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อดึงให้เงินเฟ้อเข้าสู่ฐานปรกติที่ 1-2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI)เดือนมกราคม 2552 อัตราติดลบ -0.40% ต่ำสุดในรอบ 9 ปี เงินเฟ้อเทียบเดือนเดียวกับปีก่อน
ดัชนีเงินเฟ้อติดลบแสดงถึง..ดัชนีเงินเฟ้อติดลบแสดงถึง.. • เป็นดัชนีเปรียบเทียบราคาขายปลีกสินค้าและบริการ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการ ณ ปีฐานใด หรือระดับราคา เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาใด ซึ่งนำมาคำนวณเปรียบเทียบ • แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์ความต้องการและหรืออำนาจซื้อของผู้บริโภคในการจ่ายสินค้าลดลงต่ำมากกว่าขีดความสามารถในการผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาด (Capacity Utilization) • ผลสะท้อนของดัชนีเงินเฟ้อที่ต่ำมาก จะไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีอัตราการผลิตที่ลดลงเหลือเพียง 50% และตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มติดลบหรือโตประมาณ 1.1% • อัตราเงินเฟ้อจะติดลบไปอย่างน้อยขนถึงปลายไตรมาส 2 โอกาสดอกเบี้ยจะลดลงอีกร้อยละ 1 เป็นไปได้สูง • ดัชนีราคาผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์กับอัตราว่างงาน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยอาจผจญกับปัญหาการว่างงานที่รุนแรง
ปี 2552 / Q1-Q2สัญญาณการว่างงานชัดเจนขึ้น ตัวเลขการว่างงานอาจถึง 900,000-1,000,000 คนหากเศรษฐกิจโต 1%
วิกฤติเศรษฐกิจกับการว่างงานของไทยวิกฤติเศรษฐกิจกับการว่างงานของไทย • ปี 2552 ซึ่งคาดว่าโอกาสที่เศรษฐกิจของไทยอาจถดถอยเฉียด 0.5 หรือติดลบ มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง • การส่งออกปี 2552 หดตัวอย่างรุนแรง ที่อัตรา -12.5 มูลค่า 153.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่เคยขยายตัวในปี 2551 ที่อัตรา 16.8 มูลค่า 1753.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และการนำเข้าในปี 2552 ก็ติดลบ -11.2 ขณะที่ปี 2551 ขยายตัวที่อัตรา 26.4 (ที่มา กระทรวงการคลัง) • เศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา , ประเทศในกลุ่มประชากรยุโรป และประเทศญี่ปุ่น เป็นสัดส่วนการส่งออกของไทยถึงร้อยละ 34.7 • อัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล่านี้ติดลบเฉลี่ยที่ร้อยละ 30 ดัชนีการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมหรือ MPI อยู่ที่ร้อยละ 53-55 ติดลบไปแล้วถึงร้อยละ 19.63 • ปี 2552 การว่างงานอาจไปถึงร้อยละ 2.5 ภาคการส่งออกรวมถึงภาคการท่องเที่ยว และภาคการลงทุนมีการขยายตัวอาจถึงขั้นติดลบ เศรษฐกิจของไทยจึงจะซบเซาแบบลากยาว
ตัวเลขการว่างงานจะสัมพันธ์กับ GDP ไตรมาสที่ 4 ปี 2008 GDP 1% การว่างงาน 1.4% จำนวน 525,000 คน ไตรมาสที่ 1 ปี 2009 GDP 0.5-1.0%การว่างงาน 1.8% จำนวน 630,000 คน ไตรมาสที่ 2 ปี 2009 GDP 0% การว่างงาน 2.5% จำนวน 900,000 คน • การเลิกจ้างอย่างเป็นทางการไปแล้ว 60,105 คน และคาดว่าในไตรมาสแรกของปี 2552 ลูกจ้างในสถานประกอบการมีแนวโน้มอาจถูกเลิกจ้างถึง 69,031 คน และลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบทั้งจากการลดค่าจ้างและล่วงเวลาอีกประมาณ 227,067 คน • พื้นที่ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเลิกจ้าง 5 จังหวัดแรก ประกอบด้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 19,462 คน , จังหวัดนครราชสีมา 10,804 คน , จังหวัดปราจีนบุรี 9,612 คน , จังหวัดสมุทรปราการ 9,329 คน และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 5,647 คน
ข้อบ่งชี้ของกิจการที่มีแนวโน้มที่จะเลิกจ้างประกอบด้วยปัจจัย • คำสั่งซื้อลดลง ทำให้ต้องลดการผลิต และหรือลดเวลาการทำงาน • โรงงานเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง ไม่สามารถนำเข้าหรือสั่งซื้อวัตถุดิบให้พอเพียงในการผลิต • การผลิตของโรงงาน หยุดบ้าง ปิดบ้าง ไม่เป็นเวลา • ลดวันทำงานและลดค่าจ้าง • เริ่มมีสัญญาณค้างจ่ายค่าจ้าง หรือเริ่มจ่ายค่าจ้างไม่ตรงเวลา • เริ่มมีสัญญาณการเลิกจ้าง Outsource และหรือเลิกจ้างพนักงานบางแผนก
โลหะการ 7.14% หมดสัญญา 3.6% หมดฤดูกาล 7.4% บริการทั่วไป 9.05% เฟอร์นิเจอร์ 18.06% เฟอร์นิเจอร์ 18.06% ลดขนาดองค์กร 4.8% เครื่องแต่งกาย/รองเท้า 34.65% ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 31.08% คำสั่งซื้อลด 63.5% ปี 2551 เลิกจ้างไปแล้ว 60,105 คน ประเภทกิจการ สาเหตุการเลิกจ้าง
เศรษฐกิจที่ลดลง 1% มีผลต่อจำนวนคนว่างงาน (ประมาณ 1.12 แสนคน)
ปี 2552สัญญาณเงินตึงตัวทั้งภาครัฐและเอกชน และขาดสภาพคล่อง สถาบันการเงินลดเป้าปล่อยสินเชื่อจากปี 2551 อัตรา 10% เหลือ 5% • สถาบันเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ • รัฐบาลขาดสภาพคล่องจะมีการออกพันธบัตร 2.0 แสนล้าน ปล่อยกู้แย่งสภาพคล่องภาคเอกชน • เงินคลังลดเหลือ 52,000 ล้าน อาจทำให้กระทบการจ่ายเงินงบประมาณ • การเสริมกลไกประกันสินเชื่อ แก้สภาพคล่องให้ SME
สภาพคล่องของประเทศและสถาบันการเงินสภาพคล่องของประเทศและสถาบันการเงิน • แนวโน้มเงินลงทุนภายนอกในครึ่งปีแรก จะยังไม่เข้ามามาก และโอกาสไหลออกมีมากในช่วงกลางปีอาจมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน • การขาดดุลงบประมาณปี 2552 จะสูงจากการขาดดุล 350,000 ล้าน และการเก็บเงินไม่เข้าเป้า 10% (จากเป้ารายได้ที่คาดจะเก็บ 1.583 ล้านล้านบาท) อีก 158,300 ล้าน จะทำให้รัฐบาลต้องก่อหนี้สาธารณะ และการกู้เงินในประเทศจะดูดซับสภาพคล่องในตลาด • โอกาสจะเกิดเงินฝืดในระบบการเงิน และภาคเอกชนที่มีความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ และเครดิตทางการค้า
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจเป็นง่อย (1) • มาตรการทางคลังของรัฐบาลอาจมีข้อจำกัดจากประมาณการเก็บภาษีไม่เข้าเป้าและงบประมาณจะติดลบ 10-15% ประมาณ 230,000 ล้านบาท รวมถึงตัวเลขการเก็บภาษี VAT เริ่มมีสัญญาณโตเพียง 0.1 (Q4/2251) จากที่เคยขยายตัว 10.1% • การเก็บภาษี 3 เดือนแรก -16% เป็นสัญญาณทางลบจากภาคอุตสาหกรรมหดตัวเกือบทุกสาขา มาตรการทางภาษีทุก 10,000 ล้าน บาท มีผลต่อ GDP 0.06% • งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 350,000 ล้าน ไม่พอเพียงที่จะกู้วิกฤติและอาจมีปัญหาและข้อจำกัดด้านการหาเงินแหล่งเงิน และต้องใช้เวลาทั้งจากการออกพันธบัตรและกู้เงินต่างประเทศ • มาตรการทางการเงินขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ต่ำกว่าที่ประมาณการ โดยมาตรการลดดอกเบี้ย ธนาคารแห่งประเทศไทยเหลือ 2.0% ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยมาก เนื่องจากสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ และช่วงต่างดอกเบี้ย (Spread Gap) ห่าง 4-5% อาจไม่มากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจเป็นง่อย (2) • ทางธนาคารของรัฐมีปัญหาในเชิงปฏิบัติการในการพิจารณาหลักประกันและเงื่อนไขขั้นตอนการปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SME ทำให้เงินช่วยเหลือ ดอกเบี้ยต่ำทั้งจาก คปส. และของรัฐบาล อาจไม่ถึงกลุ่มอุตสาหกรรมเสี่ยงในการเลิกจ่างแรงงาน • รัฐบาลขาดสภาพคล่อง การเบิกจ่ายงบประมาณใช้เพียง 7.9% โดยมีเงินคงคลัง 52,000 ล้านบาทใช้ได้เพียงเดือนครึ่ง • หากกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า เศรษฐกิจในครึ่งปีแรกโอกาสจะติดลบ 3-4% และการว่างงานในช่วงปลายไตรมาส 2 อาจไปถึงหลักล้านคน (เศรษฐกิจ Q4/2551 โต-3.5)
งบกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้างบกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยผูกพันกับส่งออก 68% ของ GDP • สหรัฐอเมริกา , ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นสัดส่วนส่งออกร้อยละ 35% และอยู่สัดส่วนทางอ้อมอีกร้อยละ 10-15% • การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย จะต้องรอให้เศรษฐกิจและอุปสงค์โลกฟื้นตัวก่อน สหรัฐฯ จะเริ่มใช้วิธีปิดประเทศที่เรียกว่า “America Buy” และประเทศคู่ค้าจะมีมาตรการ NTB และปกป้องการนำเข้ารุนแรง • เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะตกต่ำสู่ระดับต่ำสุดในช่วงปลาย Q1/2009 โดยการว่างงานจะเพิ่มจากอัตราร้อยละ 6.0 เป็นร้อยละ 8-11 ในช่วงกลางปี 2009 • การตกต่ำทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯและยุโรป จะยืดเยื้อไปถึงปี 2010 โดยตัวเลขการนำเข้าจะชะลอตัวไปถึงกลางปี 2010 • รัฐบาลต้องเร่งสร้างงานในประเทศ กระตุ้นการบริโภคและต้องมีมาตรการระยะยาว รองรับการส่งออกชะลอตัว , การผลิตตกต่ำ ,ซึมลากยาว
ตัวเลขที่สำคัญของแต่ละภาคเศรษฐกิจ/สัดส่วนต่อ GDP ลงทุน 10.82% 6.49% ท่องเที่ยว 68% ส่งออก 54% บริโภคภายใน 10% การใช้งบฯรัฐบาล เกษตร 17.1-19.8% 65% นำเข้า ส่งออกโต (-5) -1% นำเข้า (-8.8%) บริโภคภายใน +1.6% การลงทุน(เอกชน) 2.2%
ปี 2009 เศรษฐกิจขาลงและซึมยาว ที่มา สำนักงบประมาณ 17/2/2552
ความวิตกกังวลของนักธุรกิจไทย (เรียงตามลำดับ) • ปัญหาความขัดแย้งการเมือง ร้อยละ 47.6 • ความเชื่อมั่นรัฐบาลในการแก้ปัญหา ร้อยละ 17.1 • ความสามารถในการแข่งขันลดลง ร้อยละ 14.4 • เศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อกิจการหดตัวของตลาด ร้อยละ 10.6 • สภาพคล่อง/อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 10.3
ผู้ประกอบการไทยร้อยละ 96.4 ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว ผลกระทบที่มีต่อภาคการผลิตปี 2552 ผลประกอบการปี 2551 ไม่มีผลกระทบ 3.3% ผลกระทบรุนแรง 2.7% สูงกว่าเป้าหมาย 24% ผลกระทบน้อย 40.7% ผลกระทบ ปานกลาง/มาก 53.7% ตามเป้าหมาย 7.2% ต่ำกว่าเป้าหมาย 68.4%
ความวิตกกังวลของนักธุรกิจญี่ปุ่นในไทย • ปัจจัยความเสี่ยงการเมืองในประเทศ ร้อยละ 28.68 • ปัจจัยเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ร้อยละ 27.80 • ปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ ร้อยละ 24.3 • ปัจจัยความเสี่ยงด้วยอัตราแลกเปลี่ยนและอื่นๆ ร้อยละ 19.10
ผู้ประกอบการธุรกิจญี่ปุ่นในไทย ร้อยละ 64ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว เพิ่มขึ้นและ กำไรมากขึ้น แย่มาก 28% 17% 15% ยอดขายเพิ่มขึ้น 12% ดีขึ้น แย่ลง 71% 64% ยอดขายลดลง ที่มา : JETRO ที่มา : JETRO
ผลสำรวจการลงทุนด้านโรงงานและเครื่องจักร ของบริษัทญี่ปุ่นในไทย
วิเคราะห์ปัจจัยเชิงบวกเศรษฐกิจไทยอาจไม่เลวร้ายอย่างที่ประมาณการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงบวกเศรษฐกิจไทยอาจไม่เลวร้ายอย่างที่ประมาณการ • ประเทศไทยไม่มีปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงิน-ธนาคาร ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหา Sub-Prime ที่เกิดในประเทศ G3 • เงินสำรองของไทยมีมากกว่า 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ไม่มีปัญหาด้านอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากนัก • รัฐบาลปัจจุบันเข้าใจปัญหาดีกว่ารัฐบาลที่ผ่านมามีการ Road Show และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ งบประมาณ 350,000 ล้าน เข้ามากระตุ้นบริโภค , สภาพคล่อง และว่างงาน • ปัจจัยการเมืองและความวุ่นวายการเมืองมีการคลี่คลายไปในทางบวก เอื้ออำนวยในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
วิเคราะห์ปัจจัยเชิงบวกเศรษฐกิจไทยอาจไม่เลวร้ายอย่างที่ประมาณการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงบวกเศรษฐกิจไทยอาจไม่เลวร้ายอย่างที่ประมาณการ • เศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ลดลงกว่า 57% ส่งผลต่อเงินเฟ้อที่ลดลงทำให้ราคาสินค้าลดลง อาจทำให้ประชาชน (ที่ยังไม่ตกงาน) เร่งการบริโภคจะเป็นตัวปรับเศรษฐกิจภายในให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยกระตุ้นการบริโภค • ภาคอุตสาหกรรมของไทยยังมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยงที่ดีและยังแข็งแรง อุตสาหกรรมบางกลุ่มไม่ได้รับผลกระทบ เช่น เครื่องนุ่งห่ม , อาหาร แจ้งว่าไม่ได้รับผลกระทบและยังต้องการแรงงานอีกมาก?? • ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 2552 อาจมีประมาณ 14 ล้านคน ใกล้เคียงปี 2551 หรือหากลดลงก็ไม่เกินร้อยละ 7-8 มีรายได้ประมาณ 516,000 ล้านบาท • เศรษฐกิจไทย อาจไม่ถึงขึ้นติดลบ โดยปัจจัยเชิงลบและการว่างงานที่เป็นหลักล้านเป็นเพียงสมมุติฐานตามดัชนีเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจจริงในปี 2009 อาจไม่เลวร้ายกว่าที่คิด
เศรษฐกิจไทย..ใครช่วยได้..??เศรษฐกิจไทย..ใครช่วยได้..?? • ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2552 ยากที่จะพยากรณ์ • ปัจจัยกระทบเศรษฐกิจไทยไม่เหมือนในอดีต • เศรษฐกิจไทยอิงกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ซึ่งไทยพึ่งพิงส่งออก-นำเข้า ร้อยละ 133 / GDP • ผลกระทบมีต่อภาคการผลิต/บริการ (Real Sector) แต่มีผลกระทบน้อยต่อภาคการเงิน • สภาวะวิกฤติครั้งนี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ • ทุกประเทศใช้มาตรการเงินอ่อนค่า , กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน , กีดกันสินค้านำเข้า • รัฐบาลต้องบอกความเป็นจริงให้ภาคธุรกิจและภาคเกษตร • งบกระตุ้นเศรษฐกิจ การเบิกจ่ายล่าช้าไม่ทันเวลา และมีเงินไม่มากพอดันเศรษฐกิจภายใน
ทางเลือก-ทางรอด จากวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย (1) • เตรียมสถานการณ์รับมือธุรกิจซึม-ยาว ถึงสิ้นปี 2552 (หากธุรกิจอยู่ในกลุ่มเสี่ยง) • รักษาสภาพคล่องรับมือเงินจะตึงหนี้จะเสียมากขึ้น เศรษฐกิจชะลอตัวลาวยากไปจนถึงปลายปี 2552 (เป็นอย่างน้อย) • จัดให้มีแผนบริหารความเสี่ยงระยะยาว (Long Plan Risk Management) โดยใช้สมมุติฐาน ตัวเลขของธุรกิจในทางลบให้มากที่สุด • ให้มีระบบเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตผลจากทุนและทรัพยากรในการผลิต (Resources Productivity)
ทางเลือก-ทางรอด จากวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย (2) • จัดให้มียุทธศาสตร์ด้านการตลาดและการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ให้มียุทธศาสตร์ขยายฐานลูกค้าใหม่และขายตรงลดพึ่งพิงคนกลาง • เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่และ Product Line หรือ New Business เพื่อเป็นแหล่งรายได้ใหม่และรองรับต้นทุนค่าแรง • สร้างทีมแบบ “One Team” และค้นหานวัตกรรมด้านการบริหาร เพิ่อความอยู่รอด มีความเบ็ดเสร็จแต่ต้องยืดหยุ่น • Change Management บริหารความเปลี่ยนแปลงใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ รื้อโครงสร้างการบริหารให้กะทัดรัด จะไปควบรวมกิจการหรือจะไปซื้อกิจการเป็นทั้งวิกฤติและโอกาส (รวมถึงการเตรียมหางานสำรอง)
Change Managementการบริหารการเปลี่ยนแปลงภายใต้เศรษฐกิจถดถอย
ยุทธศาสตร์การตั้งรับเศรษฐกิจถดถอยและการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสยุทธศาสตร์การตั้งรับเศรษฐกิจถดถอยและการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส • สร้างคุณค่าให้กับธุรกิจและสินค้า / ทำตัวเองให้มีคุณค่า Market Niche • ขยายตลาดแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย / เตรียมหางานสำรอง / เลือกเรียนสาขาที่ตลาดต้องการ Value Creation CRM : Customer Relationship • การบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า / นายจ้าง Knowledge Alert • ใฝ่หาองค์ความรู้เพื่อแก้ปัญหา-ฝ่าวิกฤติ / เรียนต่อ / ป.โท – ป.เอก Change & Flexibility • เปลี่ยนแปลงและยืดหยุ่นการบริหารจัดการ / เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จะเสี่ยงเป็นคนตกงาน New Innovation • สร้างนวัตกรรมใหม่ให้มีความแตกต่าง / วางแผนเป็นเจ้าของธุรกิจ Business & Life Plan • จัดทำแผนธุรกิจแบบมีเป้าหมาย / วางแผนชีวิตแบบมีเป้าหมาย Liquidity • เสริมสภาพคล่องรองรับเศรษฐกิจซึมยาว / เศรษฐกิจพอเพียง SWOT Analysis • วิเคราะห์ธุรกิจ / ทบทวนตัวเองว่ามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร Hopeful • อย่าท้อแท้ / ชีวิตต้องมีความหวัง
ปี 2009 การบริหารทางเลือก..ทางรอดของนักธุรกิจ • การมีสติ Awareness • การมีปัญญา Wisdom Base • การมีวิริยะ-อุตสาหะ Persistency • การบริหารความเสี่ยง Risk Management • การมีเศรษฐกิจพอเพียง Sustainable Economic • การปล่อยวาง Meditate