1 / 54

บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน

บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน. Biology (30242). บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน. . 5.1 อาหารและการย่อยอาหาร. . 5.1.1 การย่อยอาหารของจุลินทรีย์. . 5.1.2 การย่อยอาหารของสัตว์. . 5.1.3 การย่อยอาหารของคน. . 5.2 การสลายสารอาหารระดับเซลล์.

gage
Download Presentation

บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน Biology (30242)

  2. บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน . 5.1 อาหารและการย่อยอาหาร . 5.1.1 การย่อยอาหารของจุลินทรีย์ . 5.1.2 การย่อยอาหารของสัตว์ . 5.1.3 การย่อยอาหารของคน . 5.2 การสลายสารอาหารระดับเซลล์ การสลายโมเลกุลของสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน การสลายโมเลกุลของสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน .

  3. การสลายสารอาหารระดับเซลล์(Cellular respiration) .

  4. 5.2 การสลายสารอาหารระดับเซลล์ (Cellular respiration) . 5.2.1 การสลายโมเลกุลของสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic respiration) ไกลโคลิซีส (glycolytic pathway). .แอซิทิลโคเอนไซม์ เอ (acetyl coenzyme A) . วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) . . ระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน (electron transport system)

  5. . 5.2.2 การสลายโมเลกุลของสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic respiration) .

  6. การสลายสารอาหารระดับเซลล์ Cellular respiration. . สิ่งมีชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงานสำหรับกระบวนการต่างๆ ของชีวิต . กระบวนการดังกล่าวถ้าเกิดขึ้นโดยมีการใช้ออกซิเจนในเซลล์ เรียกว่า การหายใจระดับเซลล์ (cellular respiration) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ให้พลังงานมากกว่า . แบบที่ไม่ใช้ออกซิเจน หรือที่เรียกว่า การหมัก (fermentation) .

  7. . การหายใจระดับเซลล์ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ 3 ขั้นตอนที่ต่อเนื่องกัน ได้แก่ . ไกลโคลิซีส (glycolytic pathway) . วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) . ระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน (electron transport system) . ขั้นตอนแรกเกิดใน cytosol . 2 ขั้นตอนหลังเกิดขึ้นใน mitochondria . .แอซิทิลโคเอนไซม์ เอ (acetyl coenzyme A)

  8. . ในแง่ของ metabolism 2 กระบวนการแรก คือ . glycolytic pathway และ Krebs cycle เป็นการสลาย glucose และสารอาหารอื่นๆ ให้ได้สารพลังงานสูง .คือ ATP, NADH และ FADH2 ซึ่งสะสมพลังงานเคมีไว้ในตัว . ส่วน electron transport system คือ .

  9. การที่ NADH และ FADH2 ส่งอิเล็กตรอนให้ระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอนซึ่งจะมีการถ่ายทอดอิเล็กตรอนให้ตัวรับเป็นช่วงๆ ต่อๆ กันไปที่ปลายสุดของระบบ อิเล็กตรอนจะรวมกับ H+ และ O2 เกิดเป็น H2O . พลังงานที่ปล่อยจากแต่ละขั้นตอนสามารถนำไปสร้าง ATP โดยวิธีการที่เรียกว่า oxidative phosphorylation คือ การที่มีออกซิเดชันพร้อมกับการเติมหมู่ฟอสเฟตให้ ADP .

  10. . Mitochondria . http://io.uwinnipeg.ca/~simmons/1115/cm1503/mitochondria.htm

  11. 3 ขั้นตอนของการหายใจระดับเซลล์ กลูโกส ไกลโคลิซิส การถ่ายทอดอิเล็กตรอน . http://www.il.mahidol.ac.th/course/respiration/Lesson2_menu.html

  12. . โครงสร้างของ ATP ๑.เบส ๒.น้ำตาลไรโบส ๓.หมู่ฟอสเฟต . http://www.ustboniface.mb.ca/cusb/abernier/Biologie/Module1/metabolisme1.htm

  13. ฟอสโฟรีเลชัน Phosphorylation เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น โดยการเติมหมู่ฟอสเฟตให้แก่สารประกอบ..ทำให้สารนี้เป็นสารที่มีพลังงานพันธะสูง เช่นกระบวนการสร้าง ATP จาก ADPและหมู่ฟอสเฟต ปล่อยพลังงาน 7.3kcal/mol. ATP ADP + Pi พลังงานจากกระบวนการเมเทบอลิซึม . http://www.piercenet.com/Proteomics/browse.cfm?fldID=A97B184C-21CD-46BD-90DC-9A7ECA4CEB64

  14. . Phosphorylation . http://mil.citrus.cc.ca.us/cat2courses/bio104/ChapterNotes/Chapter05notesLewis.htm

  15. ปล่อยพลังงาน 7.3kcal/mol. 7.3kcal/mol.

  16. Glycolysis. .

  17. มี C = 3 อะตอม ( 2 โมเลกุล) กลูโคส C 6อะตอม สลาย C=6 อะตอม ได้ 2ATP กรดไพรูวิก (pyruvic acid) 2ADP มี C = 3 อะตอม ( 2 โมเลกุล) 2PGALฟอสโฟกลีเซอรัลดีไฮด์ ใช้ ATP 2 โมเลกุล C 3 อะตอม 2ADP+2Pi 2NAD++4H+4e- เกิดที่ไซโทซอล(ในไซโทพลาสซึม) ไกลโคลิซิส 2(NADH+H +) 2ATP กรดไดฟอสโฟกลีเซอริก(2PGA) 2ADP+2Pi ปลดปล่อย ATP 4 โมเลกุล 2ATP กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล . รวมปลดปล่อย 4 ATP นำไปใปใช้ 2 เหลือ 2ATP

  18. สรุปปฏิกิริยาช่วงไกลโคลิซิสสรุปปฏิกิริยาช่วงไกลโคลิซิส ๑. เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่ไซโทพลาสซึมของเซลล์ ๒. ถ้าเริ่มจาก C6H12O6 =1โมเลกุล จะได้ผลลัพธ์คือ เกิดกรดไพรูวิก( C3H4O3) 2 โมเลกุล เกิดพลังงานออกมา 4 ATP แต่มีการใช้พลังงานร่วมกระบวนการ 2 ATP ดังนั้น จึงได้พลังงานสุทธิเพียง 2 ATP เกิด 2 NADH2 = 6 ATP ( 1 NADH2 = 3 ATP) . สรุปปฏิกิริยาช่วงไกลโคลิซิสจะได้พลังงาน 8 ATP

  19. . http://www.il.mahidol.ac.th/course/respiration/Lesson2_menu.html

  20. .กรดไพรูวิกจะเคลื่อนที่เข้าสู่ไมโทคอนเดรีย . http://www.il.mahidol.ac.th/course/respiration/Lesson2_menu.html

  21. การสร้างแอซิตีล โคเอนไซม์ เอ Acytyle Co Enzyme A

  22. เกิดที่เยื่อชั้นในของไมโทคอนเดรีย . ขั้นนี้กรดไพรูวิก 1 โมเลกุล กลายเป็นกรดอะซิติกซึ่งเป็นสารที่มี C = 2 กรดแอซิติกจะรวมตัวกับ โคเอนไซม์เอซึ่งมีอยู่แล้วภายในเซลล์กลายเป็น . แอซิติลโคเอนไซม์เอเรียกย่อๆว่าแอซีติลโคเอ .

  23. ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซม์ (CO2) 1 โมเลกุลและไฮโดรเจน 2 อะตอม โดยมี NAD+มารับ และเปลี่ยนเป็น NADH+1 โมเลกุล แล้วเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน

  24. .สรุป การสลายกลูโคส 1 โมเลกุล ได้ กรดไพรูวิก 2 โมเกลุ .กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล ได้แอซิติลโคเอนไซม์ เอ 2 โมเลกุล ได้ CO2 2 โมเลกุล . และได้ไฮโดรเจน 4 อะตอม จึงได้ 2 NADH2 สมการ AcetylCoA คือ 2Co A 2pyruvate   2Acetyl Co A+2CO2+ 4H. 2 NADH2 2 NAD+ .

  25. วัฏจักรเครบส์ Kreb's Cycle .

  26. “วัฏจักรเครบส์” บางทีเรียกว่า “วัฏจักรของกรดซิตริก” เกิดขึ้นที่บริเวณเมทริกซ์ซึ่งเป็นของเหลวในไมโทคอนเดรีย ที่มีการสลายแอซิตีลโคเอนไซม์ เอ ให้ได้เป็น CO2และเก็บพลังงานในรูปของ NADH FADH2และ ATP มีการให้ไฮโดรเจนอิสระออกมาซึ่งจะถ่ายทอดไปยังตัวรับคือ FAD+และ NAD+ เกิดเป็น FADH2และ NADH + H+ .

  27. วัฏจักรเครบส์ เริ่มด้วยแอซีตีลโคเอนไซม์ เอ ซึ่งมีคาร์บอน 2 อะตอม รวมกับสารประกอบกรดออกซาโลแอซิติกซึ่งมีคาร์บอน 4 อะตอม ได้เป็นสารที่มีคาร์บอน 6 อะตอม คือ กรดซิตริก[ citric acid ] และปล่อยCo A(โคเอนไซม์ เอ เป็นอิสระ) กรดซิตริกนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงต่อไปอีกหลายขั้นโดยใช้เอนไซม์หลายชนิด .

  28. ได้สารที่มี C = 4 อะตอม คือ กรด ออกซาโลแอซิติก ในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงจะมีการปลดปล่อย Cในรูป CO2และพลังงานในรูป ATP, NADH , FADH2 . เรียกปฏิกิริยาช่วงนี้จึงถูกเรียกว่า “ วัฏจักรเครบส์” .

  29. แอซิทิลโคเอนไซม์ เอ มี C 2 อะตอม Co A กรดออกซาโลแอซิติก +CCCC CCCCCC CCCC กรดซิตริก (C=6) NADH กรดออกซาโลแอซิติก NAD+ H2O CO2 FADH2 H2O FAD NAD+ NAD+ NADH CCCC กรดซักซินิก NADH CCCCC ATP กรดคีโทกลูทาริก ADP+Pi CO2 .FAD(flavin adenine dinucleotide) รับโปรตรอนและอิเล็กตรอนได้FADH2 (FAD+2H+ + 2e-FADH2 .

  30. ภาพแสดงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในวัฏจักรเครบส์ภาพแสดงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในวัฏจักรเครบส์ .

  31. . สรุปปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในวัฏจักรเครบส์ 1. ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นภายในส่วนของของเหลวที่อยู่ใน ไมโทคอนเดรียที่เรียกว่า เมตริกซ์ [ matrix] . 2. เป็นปฏิกิริยาที่ทำให้เกิด H อิสระมากที่สุดคือ ใน หนึ่งรอบของวัฏจักรเครบส์จะมี H เกิดขึ้น 8 อะตอม . 3. เป็นปฏิกิริยาที่มีการเปลี่ยนอินทรีย์ C ให้เป็น อนินทรีย์คาร์บอนได้อย่างสมบูรณ์ และในปฏิกิริยานี้ทำให้เกิด CO2มากที่สุดด้วย .

  32. 4. มีพลังงานที่เกิดขึ้นในรูปของ GTP เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำจะให้พลังงานสูงเช่นเดียวกับ ATP 5. ปฏิกิริยาในวัฏจักรเครบส์ 1 รอบจะได้ NADH+H+ 3 โมเลกุล FADH2 1 โมเลกุล GTP 1 โมเลกุลและ CO2อีก 2 โมเลกุล. 6. ไฮโดรเจนที่เกิดขึ้นภายในวัฏจักรนี้มีทั้งหมด 16 อะตอมซึ่งก็จะถูกนำไปใช้ในกระบวนการถ่ายทอด อิเล็คตรอนร่วมกับอิเล็คตรอนตัวอื่นๆ ต่อไป .

  33. กระบวนการถ่ายทอดอิเล็คตรอนกระบวนการถ่ายทอดอิเล็คตรอน Electron Transfer .

  34. กระบวนการถ่ายทอดอิเล็คตรอน [ Electron Transport Chain]กระบวนการนี้เกิดจากไฮโดรเจนอิสระทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงต่างๆ ทั้งไกลโคไลซิส การสร้างแอซิตีลโคเอนไซม์ เอ และวัฏจักรเครบส์จะถูกตัวรับไฮโดรเจนนำเข้าสู่ระบบถ่ายทอด อิเล็คตรอน จะมีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นหลายขั้นตอนจนในที่สุดก็จะมีการรวมตัวกับออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปกลายเป็นน้ำ และมีการคายพลังงานออกมาเป็นจำนวนมากซึ่งเกิดประโยชน์มากมายต่อเซลล์ คือทำให้เซลล์สามารถไปสร้าง ATP ได้ และ ทำให้การรวมตัวของไอโดรเจนกับออกซิเจนไม่เกิด พลังงานมากจนถึงขั้นที่ทำอันตรายต่อเซลล์ได้ . .

  35. . ในการสังเคราะห์ ATP อิเล็คตรอนที่หลุดออกจากโมเลกุล ของสารอาหารไม่ได้เคลื่อนที่ไปยัง ATP แล้วคายพลังงาน เพื่อให้ ADP เอาไปสร้าง ATP โดยตรง แต่มันจะมีสารมารับ อิเล็คตรอนอื่นๆ ซึ่งเรียกว่า “ ตัวรับอิเล็คตรอน” [electron carrier] แล้วถ่ายทดไปยังตัวนำอิเล็คตรอนอื่นๆ ขณะที่มีการ ถ่ายทอดอิเล็คตรอนจะมีพลังงานปล่อยออกมาจากอิเล็คตรอน พลังงานเหล่านี้ก็จะเอาไปสังเคราะห์ ATP กระบวนการดังกล่าวนี้จึงเกี่ยวข้องกับสาร 2 ประเภท คือสารที่เป็นตัวนำอิเล็คตรอนและตัวรับพลังงานจากอิเล็คตรอน [electron receptor] ในที่นี้ สารที่ เป็นตัวรับอิเล็คตรอนก็ได้แก่ พวกไซโทโครมชนิด ต่างๆ เช่น cyt.a cyt.b cyt.q เป็นต้น . .

  36. .

  37. สรุปลักษณะสำคัญของกระบวนการถ่ายทอดอิเล็คตรอนสรุปลักษณะสำคัญของกระบวนการถ่ายทอดอิเล็คตรอน 1. กระบวนถ่ายทอดอิเล็คตรอนนั้นจะเกิดขึ้นภายในส่วนที่เป็นรอยยัก ที่ยื่นเข้ามาภายในไมโทคอนเดรียที่เรียกว่า “คริสตี้” [CHISTAE] 2. ตัวกลางที่ทำหน้าที่รับ-ส่ง ไอโดรเจนและอิเล็คตรอนมี ตามลำดับดังนี้ cyt.q FAD+หรือFMN NAD+ cyt.a3 cyt.a cyt.b .

  38. 3. ทุกๆ 2 อะตอมของไฮโดรเจนที่ผ่านกระบวนการจะทำ ให้เกิดน้ำ 1 โมเลกุล 4. พลังงานส่วนใหญ่ที่ได้จากการหายใจเกิดขึ้นใกระบวนการถ่ายทอดอิเล็คตรอน สามารถเก็บเอาไว้ได้ถึง 34 ATP 5. ในการกลูโคส 1 โมเลกุล ถ้าหากว่าตัวรับอิเล็คตรอนที่เข้ามารับเป็น FAD+ จะทำให้ได้พลังงาน ATP ทั้งหมด 34 ATP แต่ถ้า NAD+ มารับจะทำให้ได้พลังงานทั้งหมด 36 ATP 6. ออกซิเจนถือเป็นตัวรับตัวสุดท้ายในระบบการถ่ายทอด อิเล็คตรอนนี้ ดังนั้นออกซิเจนที่เราหายใจเข้ามา ก็เพื่อ เอามาใช้ในกระบวนการนี้ .

  39. การสลายโมเลกุลของสารอาหารการสลายโมเลกุลของสารอาหาร แบบไม่ใช้ออกซิเจน . แก๊สออกซิเจน เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ของสิ่งมีชีวิต แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กบางชนิดหรือเนื้อเยื่อบางอย่างถึงแม้จะไม่มีแก๊สออกซิเจนก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้ โดยได้พลังงานจากการสลายสารอาหารแบบ ไม่ใช้ออกซิเจน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้แก่ ยีสต์ แบคทีเรีย บางชนิด เมล็ดพืช เป็นต้น ส่วนกล้ามเนื้อลายของสัตว์ ชั้นสูงก็สามารถสลายสารอาหารโดยไม่ใช้ออกซิเจนได้เช่นกัน .

  40. การหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน Anaerobic Respiration .

  41. กระบวนการหมักแอลกอฮอล์กระบวนการหมักแอลกอฮอล์ . เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากการสลายกลูโคสแบบไม่ใช้ออกซิเจน เริ่มต้นด้วยไกลโคไลซิสเช่นเดียวกับการสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจนคือโมเลกุลของกลูโคสสลายได้กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล แล้วปล่อย ATP 2 โมเลกุลกับไฮโดรเจน 4 อะตอม แต่ NADH + H+ จะถ่ายทอดอะตอมของไฮโดรเจน แอซิตัลดีไฮด์(acetaldehyde) ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 2 อะตอม จึงไม่สามารถนำเอา พลังงานจากอิเล็กตรอนที่มีอยู่ในอะตอมของ ไฮโดรเจนมาสร้าง ATP ได้อีก. .

  42. สรุป…การเกิดกระบวนการหมักแอลกอฮอล์สรุป…การเกิดกระบวนการหมักแอลกอฮอล์ . ดังนั้น ในการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล จึงได้ ATP เพียง 2 โมเลกุลเท่านั้น เอทิลแอลกอฮอล์ที่ได้จากการสลายกูลโคส ถ้ามีปริมาณมากจะเป็นอันตรายแก่เซลล์ ผลผลิตของกระบวนการหมักแบบนี้ที่สำคัญ คือ เบียร์ สุรา ไวน์ ต่างๆ ในปัจจุบันมีผู้นำความรู้นี้ไป ผลิแอลกอฮอล์จากวัสดุเหลือทิ้ง เช่น การผลิตแอลกอฮอล์จากกากน้ำตาล. .

  43. กระบวนการหมักกรดแลกติกกระบวนการหมักกรดแลกติก ( Lactic acid fermentation ) . ในเนื้อเยื่อของสัตว์ซึ่งสามารถสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน ในบางกรณีเนื้อเยื่อต้องการ ATP เป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น เช่น เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อในขณะ ออกกำลังกาย แต่เนื่องจากเลือดลำเลียงออกซิเจนให้ไม่ทัน ทำให้ปริมาณ ATP ในเซลล์ลดลงอย่างรวดเร็วเซลล์จะสลายสารอาหารโดยกระบวนการหมักกรดแลกติก ซึ่งคล้ายกับ การหมักแอลกอฮอล์ แต่ NADH + H+ จะถ่ายทอดอะตอมของไฮโดรเจนให้แก่กรดไพรูวิก.

  44. สรุป…กระบวนการหมักกรดแลกติกสรุป…กระบวนการหมักกรดแลกติก . กรดแลกติกเป็นสารที่ร่างกายไม่ต้องการ เมื่อสะสมมากขึ้นกล้ามเนื้อจะล้าจนกระทั่งทำงานไม่ได้ จะต้องได้รับออกซิเจนมาชดเชยเพื่อสลายกรดแลกติก ต่อไปจนได้คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ซึ่งร่างกายจะกำจัดออกสู่ภายนอกได้ แบคทีเรียบางชนิดได้พลังงานจากการสลายสารอาหารโดยไม่ใช้ออกซิเจนทำให้เกิด กรดแลกติกเช่นกัน.

  45. การสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนการสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน . การสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนทั้ง 2 แบบดังกล่าวเป็นการสลายสารอาหารที่ไม่สมบูรณ์เพราะเอทิลแอลกอฮอล์และกรดแลกติกที่เป็นผลิตภัณฑ์นั้นยังมีพลังงานแฝงอยู่จำนวนมากและATP ที่เกิดจากการหมักเหล่านี้ ไม่ได้สังเคราะห์จากการถ่ายทอดอิเล็กตรอน แบคทีเรียบางชนิดหลังจากกระบวนการไกลโคไลซิสแล้ว จะใช้สารอนินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน.

More Related