1 / 20

การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการความปลอดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายภาคอุตสาหกรรม

การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการความปลอดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายภาคอุตสาหกรรม. ณ การนิคมอุตสาหกรรมลำพูน วันที่ 16 กรกฎาคม 2555. การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม ภาคประชาชนและสื่อมวลชน. จุดแข็ง ( S trengths). มีการกระจาย บทบาทและหน้าที่ในการกำกับดูแล ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง.

Download Presentation

การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการความปลอดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายภาคอุตสาหกรรม

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมการบริหารจัดการความปลอดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายภาคอุตสาหกรรมการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมการบริหารจัดการความปลอดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายภาคอุตสาหกรรม ณ การนิคมอุตสาหกรรมลำพูน วันที่ 16กรกฎาคม 2555

  2. การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภาคประชาชนและสื่อมวลชนการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภาคประชาชนและสื่อมวลชน

  3. จุดแข็ง (Strengths) • มีการกระจายบทบาทและหน้าที่ในการกำกับดูแล ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

  4. จุดอ่อน(Weaknesses) • หน่วยงานควบคุมไม่เข้มแข็ง • การจัดการและการสื่อสารยังไม่เพียงพอ ขาดการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องทั่วถึงและทันต่อสถานการณ์ ทำให้ผู้ใช้ไม่ทราบข้อเท็จจริงของสารเคมี และข้อมูลที่สื่อสารไปยังผู้บริโภค/ประชาชนไม่เพียงพอ • ขาดการตรวจติดตาม • การแบ่งโครงสร้างองค์กรเพื่อควบคุม ก่อให้เกิดช่องว่างทางกฎหมาย สารบางชนิดขาดหน่วยงานดูแลและรับผิดชอบ • การกำกับดูแลไม่ตอบสนองกับนโยบายที่กำหนดไว้ (นโยบายดีแต่ปฏิบัติไม่มีประสิทธิภาพ) • ขาดการกระจายอำนาจการควบคุมดูแลไม่ยังหน่วยงานท้องถิ่น • ขาดงบประมาณในการควบคุมดูแล ติดตามและประเมินผล • ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารมีความเข้าใจยาก เป็นวิชาการหรือศัพท์เทคนิคมากเกินไป • ขาดความพร้อมในการเข้าสู่ AEC • กฎหมายล้าหลัง ไม่ทันสมัย และการควบคุมยังไม่ครอบคลุมสารเคมีอันตรายอื่นๆ และไม่ครอบคลุมกับผู้ใช้งานในทุกระดับ • ขาดการบูรณาการในระดับท้องถิ่น ไม่เอื้อต่อการนำไปปฏิบัติ • บทลงโทษไม่รุนแรง กฎหมายไม่เข้มแข็ง และการควบคุมไม่เข้มงวด

  5. โอกาส (Opportunities) • การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น • การแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น • การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

  6. อุปสรรค (Threats) • ปัญหาทางความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรม • มีข้อจำกัดในการกระจายข้อมูลแก่สาธารณะในทุกระดับ ใช้สื่อที่ไม่เป็นที่นิยมของสาธารณะ • ปัญหาการแทรกแซงทางการเมือง • การใช้อิทธิพลของนักการเมือง • ปัญหาคอรัปชั่นของประเทศ

  7. ข้อเสนอแนะ ระยะเวลาที่มีผลบังคับใช้ ควรกำหนดเวลาในการเตรียมความพร้อมในการดำเนินงาน ด้านความปลอดภัย กำหนดเป็นนโยบายในการสื่อสาร โดยเลือกใช้สื่อที่เป็นที่นิยมแพร่หลาย และสื่อสารอย่างต่อเนื่องให้เข้าถึงท้องถิ่นได้ กำหนดประเภทและระดับความเป็นอันตรายของสารเคมีให้ชัดเจน และสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ขยายฐานการควบคุมสารเคมีให้มากยิ่งขึ้น ส่งเสริมและพัฒนาให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีศักยภาพและความรู้ในการบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง ด้านสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย พร้อมสื่อสารให้ชุมชนรับทราบผลการดำเนินงานอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ควรมีกองทุนหรือแหล่งเงินทุนสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีหรือกระบวนการผลิต ด้านอื่นๆ นำเสนอข้อมูลและข่าวสารผ่านช่องทางที่มีประสิทธิภาพ เช่น ผ่านสื่อทีวี หรือฟรีทีวี เป็นต้น

  8. การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภาคเอกชนการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภาคเอกชน

  9. จุดแข็ง (Strengths) • เนื้อหาของกฎหมายมีการกำหนดหน้าที่ไว้ชัดเจน เช่น สถานประกอบการในนิคม กฎหมายการขนส่ง ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศุลกากร เป็นต้น

  10. จุดอ่อน (Weaknesses) • ไม่มีหน่วยงานในการกำกับดูแลสถานประกอบการนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม และการกำหนดขอบเขต/หน้าที่ของหน่วยงานทั้งในและนอกนิคมไม่ชัดเจนว่า การตรวจติดตามสถานประกอบการในและนอกนิคมเป็นหน้าที่ของใคร • มีหลายหน่วยงานในการกำกับดูแลสารเคมีมากเกินไป เกิดความซ้ำซ้อนและยุ่งยากในการยื่นเอกสารให้แต่ละหน่วยงานตรวจสอบ และต้องทำรายงานแยกให้แต่ละหน่วยงาน • การตีความข้อกฎหมายของแต่ละหน่วยงานขัดแย้งกัน • ปัญหาด้านเอกสารไม่พอเพียง เช่น เอกสารการนำเข้าสารเคมีที่ไม่เป็น วอ. แต่ทางกรมศุลกากรไม่แน่ใจในเรื่องความครบถ้วนของเอกสาร • ไม่มีความชัดเจนด้านความคุ้มครองแก่ผู้ได้รับผลกระทบหรืออันตรายจากสารเคมี ในแง่ของสิทธิและตัวเงิน • ไม่มีการควบคุมสารเคมีที่อยู่นอกบัญชีรายชื่อ วอ. • การดำเนินงานต่อ กรอ. ใช้เวลาในการพิจารณาค่อนข้างนาน ทำให้เกิดปัญหาในการนำเข้า/ส่งออก หรือดำเนินกิจกรรมใดๆ ต่อสารเคมี • สถานที่ติดต่อราชการอยู่ที่ส่วนกลาง (กทม.) เท่านั้น • ไม่มีการตรวจติดตามสารเคมีหลังจากการขออนุญาตการใช้ • ตรวจจับได้ยากเนื่องจากมีการนัดหมายการตรวจสอบโรงงานล่วงหน้าทำให้โรงงานมีการเตรียมตัวปกปิด ซ่อนเร้น • ความน่าเชื่อถือ/ชัดเจน ของ SDS ที่ได้รับ • การอ้างอิงประกาศบัญชีรายชื่อ วอ. ไม่ทราบแหล่งที่มา ในบางกรณีมีผลกระทบต่อกระบวนการผลิต และคุณภาพผลิตภัณฑ์ • หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องควรยังขาดการประชาสัมพันธ์เนื้อหากฎหมาย

  11. โอกาส (Opportunities) • การจัดตั้งศูนย์การบริหารจัดการสารเคมีของประเทศเป็นหน่วยงานเดียว เพื่อรับการติดต่อจากผู้ประกอบการทางเดียว

  12. อุปสรรค (Threats) • ประชาชนไม่ทราบเนื้อหากฎหมาย

  13. ระยะเวลาที่ควรมีผลบังคับใช้ระยะเวลาที่ควรมีผลบังคับใช้ ให้มีผลบังคับใช้เกิน 1 ปีขึ้นไป เพื่อเตรียมความพร้อมของสถานประกอบการ โดยมีการประชาสัมพันธ์ หรือการอบรมให้ทราบก่อน ระยะเวลาการบังคับใช้ให้พิจารณาจากความพร้อมของสถานประกอบการ เช่น ขั้นตอนการดำเนินงาน หรือการประกาศบัญชีรายชื่อสารนั้นๆ เป็น วอ. ชนิดที่ 4 แบบไหน และมีกลไก/ขั้นตอนการดำเนินงานอย่างไร มีการกำหนดระยะเวลาการควบคุมแบบค่อยเป็นค่อยใน เช่น กรณีกฎหมาย REACH จะค่อยๆ ลดปริมาณสารเคมีที่จะควบคุมลงไปเรื่อยๆ จาก 1,000 ตันจนถึง 1 ตัน หน่วยงานราชการควรเป็นตัวกระตุ้นให้สถานประกอบการเร่งดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้จริง ด้านความปลอดภัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการศึกษาสารเคมีที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อ วอ. ด้วย ควรมีการตรวจติดตามการดำเนินงานกับสารเคมีหลังจากได้รับอนุญาตให้ประกอบการได้ สถานประกอบการที่ขออนุญาตแล้วควรขอ ISO 14000 ควรมีการระบุเป็นข้อมูลว่าสารเคมีแต่ละตัวจะต้องกำจัดอย่างไร ควรมีการระบุสัญลักษณ์ความเป็นอันตรายของสารเคมีไว้ที่ภาชนะบรรจุ ควรมีวิธีการควบคุมสารเคมีในผู้ใช้รายย่อยที่ไม่ได้อยู่ในเขตประกอบการ เช่น โรงชุบ ว่ามีการใช้สารเคมีอย่างไร มีการรั่วไหลไปที่ใด ออกข้อกำหนดว่าการนำเข้าสารเคมีจะต้องมีการแนบ SDS ที่เป็นภาษาทางการ เช่น ไทย หรืออังกฤษ เนื่องจากที่ผ่านมามี SDS ที่เป็นภาษาอื่น เช่น ภาษาเยอรมัน การพิจารณาสารเคมีอันตราย ควรมีการพิจารณาแยกในสถานะของสาร เช่น ทองแดงในรูปของผงทองแดงในต่างประเทศมีการพิจารณาให้เป็นสารอันตรายเนื่องจากมีโอกาสรั่วไหลได้ง่ายกว่าทองแดงที่เป็น เส้น หรือเป็นชิ้น ข้อเสนอแนะ (1)

  14. ข้อเสนอแนะ (2) ด้านสิ่งแวดล้อม ควรมีการระบุเป็นข้อมูลว่าสารเคมีแต่ละตัวจะต้องกำจัดอย่างไร ควรมีวิธีการควบคุมสารเคมีในผู้ใช้รายย่อยที่ไม่ได้อยู่ในเขตประกอบการ เช่น โรงชุบ ว่ามีการใช้สารเคมีอย่างไร มีการรั่วไหลไปที่ใด ข้อเสนอแนะอื่นๆ การตอบข้อหารือโดยการออกเป็นหนังสือรับรอง หรือการตอบข้อหารือเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อการใช้อ้างอิง ย่นระยะเวลาในการดำเนินการติดต่อให้สั้นลง เสนอแนะให้มีการดำเนินการแบบออนไลน์ แทนการติดต่อกับ กรอ. โดยตรง ทำการสุ่มตรวจสถานประกอบการโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า การตรวจสอบสถานประกอบการควรเป็นการร่วมมือกันระหว่าง เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น ประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ควรมีการประชาสัมพันธ์และการฝึกอบรมให้แก่สถานประกอบการในการปฏิบัติตามกฎหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ประกอบการดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อเตรียมพร้อมต่อมาตรการกฎหมายสากล ออกข้อกำหนดให้ SDS ที่ได้รับจากผู้ขาย มีความถูกต้องชัดเจนมากขึ้น

  15. การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภาครัฐบาลการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภาครัฐบาล

  16. จุดแข็ง (Strengths) • แต่ละหน่วยงานมีพนักงาน/เจ้าหน้าที่ในการกำกับดูแลที่มีความเชี่ยวชาญในควบคุมกับกับดูแลในขอบเขตความรับผิดชอบของตัวเอง • บทลงโทษเข้มงวด/รุนแรง ดีอยู่แล้ว

  17. จุดอ่อน (Weaknesses) • มีหลายหน่วยงานในการกำกับดูแลด้านสารอันตราย ทำให้การประสานงานข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพ และบางครั้งการติดตามตรวจสอบในพื้นที่ต่างๆ ไม่ทราบว่าอยู่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานใด • ไม่มี พรบ.ควบคุมไปถึงการประกอบอาชีพที่มีการใช้วัตถุอันตราย เช่น การรับกำจัดปลวก/แมลง • พรบ. ไม่ครอบคลุมถึงการจำหน่ายสารเคมี ทำให้ไม่มีหน่วยตรวจสอบคนจำหน่าย เกิดช่องว่างในการควบคุม • มีการประกาศเพิ่มเติมหลายฉบับ ใช้ในทางปฏิบัติยาก • มีสารเคมีใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่ง พรบ.2535 ไม่ครอบคลุม • สารสกัดจากสารธรรมชาติ (Green Chemical) มีการเจือปนสารเคมี ซึ่งไม่อยู่ในข้อกำหนดของกฎหมาย แต่อาจเป็นสารอันตราย ที่การร่างกฎหมายควรพิจารณา • การบังคับใช้กฎหมายยุ่งยาก เพราะต้องมีหลักฐานแน่ชัด และกระบวนการในการได้หลักฐานมีขั้นตอนที่ซับซ้อน • บทลงโทษใช้บทลงโทษสูงสุด (ศุลกากร) แต่ศุลกากรมักไม่ตรวจจับตั้งแต่ตอนนำเข้า แต่มาตรวจจับภายหลังผู้ประกอบการนำสารเคมีมาผลิตแล้ว ผู้ประกอบการรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม

  18. โอกาส (Opportunities) • จัดตั้งหน่วยงานควบคุมกลาง และเชิญผู้เชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน • การเข้าสู่ AEC เกิดการค้าขายเสรี ทำให้ ปท.ไทยต้องมีการปรับปรุงการจัดการสารเคมีและวัตถุอันตรายให้เป็นสากล

  19. อุปสรรค (Threats) • ผู้ประกอบการไม่ตรงไปตรงมา แจ้งการใช้สารเคมีไม่ตรงกับความเป็นจริง • เนื่องจากมีหลายหน่วยงานภายใต้ พรบ. ทำให้ผู้ขาย/ผู้ใช้ ไม่ทราบสารเคมีต่างๆ อยู่ในขอบเขตการควบคุมของใคร • พรบฯ กำหนดให้มีผู้เชี่ยวชาญในการกำกับดูแลการใช้/ผลิต แต่ในประชาชนไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้แรงงานต่างด้าวในการดำเนินการ • ผู้ประกอบการส่วนใหญ่โดยเฉพาะ SMEs ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย การผลิตจึงไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด • ประชาชนขาดความรู้ทางกฎหมายเกี่ยวกับการใช้/ผลิต/ครอบครอง สารเคมี

  20. ข้อเสนอแนะ ระยะเวลาที่ควรมีผลบังคับใช้ ให้เวลา 1 ปี ก่อนมีผลบังคับใช้ ด้านความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อม เพิ่มการประชาสัมพันธ์แนวทางการปฏิบัติ/ป้องกันในการใช้สารเคมี ด้านอื่นๆ ควรมีการรวบรวมประกาศเพิ่มเติมให้เป็นกฎหมายฉบับเดียว ควรมีหน่วยงานกลางในการดำเนินการตรวจสอบพื้นที่แล้วรายงานให้หน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องทราบ หน่วยงานกลางควรขึ้นกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

More Related