1 / 53

Computer Basic

เครือข่ายสังคม (Social Network) การ จัดการความรู้ (Knowledge Management). Computer Basic. รายวิชา 080154 คอมพิวเตอร์เบื้องต้น (Basic Computer). เครือข่ายสังคม (Social network-SN). เนื้อหา. Introduction Social Network คืออะไร ความเป็นมาของ Social Network

doctor
Download Presentation

Computer Basic

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. เครือข่ายสังคม(Social Network) • การจัดการความรู้(Knowledge Management) Computer Basic รายวิชา 080154 คอมพิวเตอร์เบื้องต้น (Basic Computer)

  2. เครือข่ายสังคม (Social network-SN)

  3. เนื้อหา Introduction Social Network คืออะไร ความเป็นมาของ Social Network ประเภทของ Social Network ข้อดี-ข้อเสีย ของ Social Network

  4. introduction ยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต การนำเสนอข้อมูลข่าวสารในรูปแบบของเว็บไซต์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างกว้างขวางนำไปสู่การเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้ทุกคนทุกสังคมต้องมีการปรับตัว และพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกของการสื่อสาร ในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์บางเว็บไซต์นั้น มักจะเป็นการนำเสนอจากผู้ดูแลเว็บไซต์ เพียงด้านเดียว(one-way communication) และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าใช้เว็บไซต์แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ได้ ซึ่งเรียกว่ายุคเว็บ 1.0(Web 1.0) แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่ 2 ของเทคโนโลยีของ WWW หรือ Web 2.0 เป็นยุคที่ทำให้อินเทอร์เน็ตมีศักยภาพในการใช้งานมากขึ้น เน้นให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ข่าวสารลงบนเว็บไซต์ร่วมกันและสามารถโต้ตอบกับข้อมูลที่อยู่บนเว็ปไซต์ได้ ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาแลกเปลี่ยน และกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อแบ่งปันถึงกันได้ทั้งในระดับบุคคล กลุ่ม และองค์กร เรียกว่า การสื่อสารสองทาง(Two-way Communication) Web 2.0 ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้ในกลุ่มต่างๆ จนเกิดเป็นเครือข่ายทางสังคม (Social Network) บนโลกออนไลน์ที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด กลายเป็นสังคมเสมือนจริง(Virtual Communities)

  5. Social network คืออะไร • Social network คือ สังคมออนไลน์ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเขียนสร้างและอธิบายถึงตัวตนความสนใจและถึงกิจกรรมที่ได้ทำ มีการเชื่อมโยงกับความสนใจในกิจกรรมของผู้อื่น • Why Social Network เนื่องจากสภาพสังคมที่คนเจอกันน้อยลงทุกที โดยเฉพาะในประเทศที่อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับที่สูง ทำให้มนุษย์ต้องหาทางคิดค้นวิธีที่คนเราจะสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ หรือสร้างความสัมพันธ์กันทางสังคมผ่านทางอินเทอร์เน็ต สิ่งนี้มาจากพื้นฐานความคิดที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่บนโลกแห่งนี้ด้วยการที่เราต้องพูดคุยและโต้ตอบกับใครคนอื่น แต่ในเมื่อชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ถูกบังคับให้เจอกันน้อยลง ถูกบังคับให้ทำทุกกิจกรรมหลายๆ อย่างผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ มนุษย์ก็เลยสร้างที่พบปะผู้คนผ่านทางโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในเรื่องนี้ และนี่คือสิ่งที่ผมมองว่าเป็นที่มาของบรรดา social networking system ทั้งหลาย

  6. ความเป็นมาของ Social network • 1995 เป็นจุดเริ่มต้นจากเว็บไซต์ Classmates.com • 1997 เว็บไซต์ SixDegrees.com ทั้งสองเป็นเว็บไซต์ที่จำกัดการใช้งานเฉพาะนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนเดียวกันเพื่อสร้างประวัติ ข้อมูลติดต่อสื่อสาร ส่งข้อความ และแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สนใจร่วมกันระหว่างเพื่อนในกลุ่มเท่านั้น • 1999 เว็บไซต์ Epinions.com เกิดขึ้นจากการพัฒนาของ Jonathan Bishop ได้เพิ่มในส่วนของการที่ผู้ใช้สามารถควบคุมเนื้อหาและติดต่อถึงกันได้ไม่เพียงแต่เพื่อนในกลุ่มเท่านั้น ทั้งหมดนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ Social Networking ทั้งหลายที่ก่อกำเนิดต่อมาในยุคปัจจุบัน เช่น MySpace, Google, Facebookเป็นต้น

  7. ประเภทของ social network Identify Network Creative Network Interested Network Collaboration Network Gaming/Virtual Reality

  8. ประเภทของ social network 1) การเผยแพร่ตัวตน Identity Network สำหรับนำเสนอตัวตน และเผยแพร่เรื่องราวของตนเองทางอินเทอร์เน็ต สร้างอัลบัมรูปของตัวเอง สร้างกลุ่มเพื่อน และสร้างเครือข่ายขึ้นมาได้ เช่น hi5 facebookmyspace twitter

  9. ประเภทของ social network 2) การเผยแพร่ผลงาน Creative Network สามารถนำเสนอผลงานของตัวเองได้ในรูปแบบของวีดีโอ ภาพ หรือเสียงเพลง เช่น Youtube Multiply Flickr

  10. ประเภทของ social network 3. ความสนใจตรงกัน Interested Network สำหรับกลุ่มคนที่สนใจอะไรเหมือนๆกัน เช่น • del.icio.usเป็น Online Bookmarking หรือ Social Bookmarking จากแนวคิดที่ว่า แทนที่จะ Bookmark เว็บที่เราชอบเก็บไว้ในเครื่องของเราคนเดียว ก็ทำ Bookmark เก็บไว้บนเว็บไซต์แทนเพื่อจะได้แบ่งให้คนอื่นดูได้ด้วย และเราก็จะได้รู้ด้วยว่าเว็บไซต์ใดที่ได้รับความนิยมมาก โดยดูได้จากจำนวนตัวเลขที่เว็บไซต์นั้นถูก Bookmark เอาไว้จากสมาชิกคนอื่นๆ • Digg มีลักษณะคล้ายๆกัน แต่จะมีให้ Vote แต่ละเว็บที่ถูกยกมานำเสนอ และมีการเสนอแนะในแต่ละเรื่องนั้นได้ด้วย • Zickr ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนไทย เป็นเว็บลักษณะเดียวกับ Diggแต่เป็นภาษาไทย บริการเพื่อคนไทย

  11. ประเภทของ social network 4. เพื่อร่วมกันทำงาน Collaboration Networkเป็นการร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์หรือส่วนต่างๆ ของซอฟต์แวร์ • WikiPediaเเป็นสารานุกรมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมความรู้ ข่าวสาร และเหตุการณ์ต่างๆ ไว้มากมาย • ปัจจุบันเราสามารถใช้ Google Maps สร้างแผนที่ของตัวเอง หรือจะแบ่งปันแผนที่ให้คนอื่นได้ใช้ด้วย จึงทำให้มีสถานที่สำคัญ หรือสถานที่ต่างๆ ถูกปักหมุดเอาไว้ พร้อมกับข้อมูลของสถานที่นั้นๆ ไว้แสดงผลจากการค้นหา

  12. ประเภทของ social network 5. โลกเสมือน Gaming/Virtual Reality ตัวอย่างของโลกเสมือนน เช่น เกมส์ออนไลน์นั่นเอง SecondLifeเป็นโลกเสมือนจริง สามารถสร้างตัวละครโดยสมมุติให้เป็นตัวเราเองขึ้นมาได้ ใช้ชีวิตอยู่ในเกมส์ อยู่ในชุมชนหรือสังคมเสมือน(Virtual Community) สามารถซื้อขายที่ดิน และหารายได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ ได้

  13. หลักการพื้นฐานของการก่อกำเนิด Social Network • Anticipated Reciprocity แรงจูงใจมาจากการที่คนๆ นั้นต้องการจะได้รับข้อมูล ความรู้กลับคืน • Increased Recognition ความต้องการมีชื่อเสียง และเป็นที่จดจำของสังคม • Sense of efficacy ความรู้สึกภาคภูมิใจของคนที่ร่วมแสดงความเห็น (contribute) แล้วเกิด Impact บางประการ • Sense of Communityการมีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างร่วมกัน เช่น แสดงพลังทางการเมือง หรือ การรวมตัวกันเพื่อประโยชน์สาธารณะ

  14. พลังของเครือข่ายสังคม (Power of Social Network) อิทธิพลของ Social Network มีทั้งด้านบวกและด้านลบอย่างมากมาย และมีการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้รับสารได้เป็นอย่างดี • การใช้สื่อใหม่(new media) ให้เกิดประโยชน์และมีการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้รับสารได้สร้างปรากฏการณ์ให้ “บารัค โอบามา” ได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา • แนวโน้มของ Social network ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสังคมอย่างชัดเจน คือ การพัฒนาระบบเว็ปไซต์ของสำนักข่าวต่างๆให้เป็นพื้นที่สาธารณะมากขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถส่งข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณชน(Public) หรือชุมชน (Community) ได้รับรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันอีกด้วย เป็นการเปลี่ยนสภาพจากคนอ่านข่าว ฟังข่าว ดูข่าว เป็นนักข่าว นักวิเคราะห์ และนักวิจารณ์ โดยปรากฏการณ์ลักษณะนี้กำลังกลายเป็นแนวโน้มใหม่ของแวดวงสื่อสารมวลชนทั่วโลก

  15. พลังของเครือข่ายสังคม (Power of Social Network) • การสื่อสารผ่านทางเทคโนโลยี VDO Link การสื่อสารผ่านระบบ Broadband Internet การรายงานเหตุการณ์และการกระจายข่าวสารที่เกิดขึ้นในเว็ปไซต์สังคมเครือข่าย (Social network) อย่างเช่น YouTube และ Blog ต่างๆอย่างทันที่ทันใดจากประชาชนผู้เห็นเหตุการณ์ที่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงการสื่อสารในกลุ่มประชาชนที่ใช้อินเทอร์เน็ตในเรื่องที่เกี่ยวข้องผ่านสังคมเครือข่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Hi5 หรือ IM (Instant Messaging) เป็นต้น • เป็นเวทีให้ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วโลก และนักการตลาดได้ใช้เป็นแหล่งแพร่คลิปวีดิโอไปสู่คนทั่วโลก ทำให้เราได้พบเห็น เหตุการณ์แปลกใหม่หรือเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆ จากคลิปทั่วทุกมุมโลก

  16. World Top 10 social network website 1. facebook.com 2. youtube.com 3. Wikipedia.org 4. myspace.com 5. twitter.com 6. flickr.com 7. linkedln.com 8. orkut.com.br 9. hi5.com 10. livejournal.com

  17. Thailand Top 5 social network website 1. hi5 2. facebook.com 3. YouTube.com 3. Wikipedia.org 4. Multiply 5. Twitter

  18. Top hit social network website around ASIA อันดับ 1 อันดับ 2 • Thailand hi5 facebook • India facebook Orkut.co.in • Singapore facebooklivejournal • China QQ.com sina.com.cn • South Korea never.com daum.net • Japan Yahoo blog fc2.com • Malaysia facebook blogger.com

  19. ข้อดีของ Social network • สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้ • เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น • ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า • ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น

  20. ข้อเสียของ social network • เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ • Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ • เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น • ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้

  21. การจัดการความรู้ (Knowledge management-KM)

  22. การจัดการความรู้ Knowledge management-KM • ความหมายของการจัดการความรู้ • แหล่งความรู้ขององค์กร • ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการจัดการความรู้ • Web blog ที่ใช้กับการจัดการความรู้

  23. ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ปัญญา • ข้อมูล(Data)คือข้อเท็จจริงที่เราจัดเก็บเป็นตัวเลข (หรือตัวอักษร) จาก สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น • สารสนเทศ(Information๗คือ ข้อมูลที่นำมาประมวลเป็นภาพรวมให้เห็นสภาพของสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น • ความรู้(Knowledge)คือ ความเข้าใจ หรือความตระหนักเกี่ยวกับสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น • ปัญญา(Wisdom)คือ ความเข้าใจลึกไปถึงสาเหตุและผลกระทบ

  24. ความรู้ (Knowledge) ความรู้(Knowledge)แตกต่างไปจาก สารสนเทศ และข้อมูล • ความรู้ หมายถึง แนวคิด ความเข้าใจ และบทเรียนที่เราได้รับจากการผ่านเหตุการณ์และประสบการณ์ต่างๆ มาเป็นเวลาเนิ่นนาน • ความรู้เป็นเรื่องส่วนตัวเฉพาะตน • ความรู้สามารถถ่ายทอดกันได้

  25. การจัดการความรู้ (Knowledge management-KM) • การจัดการความรู้ คือ การจัดการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมีความคิดพื้นฐานอยู่ว่า ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ แลกเปลี่ยนสิ่งที่คิด แลกเปลี่ยนสิ่งที่ทำ ในที่สุดแล้วประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานจะสูงสุด ดังนั้นประเด็นสำคัญของ KM คือ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้” พวกเราทุกคนจัดการความรู้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่การจัดการของเราไม่เป็นระบบ ความรู้ของเราจึงไม่งอกเงย และเรายังสูญเสียความรู้ของเราออกไปตลอดเวลา การจัดการความรู้ของหน่วยงานจะช่วยให้บุคลากรสร้างแลกเปลี่ยน และ นำความรู้ไปใช้งานได้ดีขึ้น

  26. ลักษณะของความรู้ • Tacit knowledge ความรู้ส่วนตัวที่ทรงจำอยู่ในสมอง มีลักษณะผูกพันกับบริบทซึ่งยากที่จะเขียนเป็นสูตร บันทึก หรือ อธิบาย มักเกิดจากการปฏิบัติแบบลองผิดลองถูก • Explicit knowledge ความรู้ซึ่งสามารถถ่ายทอดเป็นภาษาหรือคำพูด นำไปจัดทำเอกสาร เก็บลงฐานข้อมูล จัดลงเว็บ หรือส่งทางอีเมล์ • Implicit knowledge ความรู้ภายในองค์กรที่อาจไม่ปรากฏชัดเจน เช่น ความรู้จากโครงสร้าง กระบวนการปฏิบัติงาน กฎระเบียบข้อบังคับ

  27. สื่อสำหรับจัดเก็บความรู้สื่อสำหรับจัดเก็บความรู้ • หนังสือ ตำรา วารสาร รายงาน สำหรับจัดเก็บข้อความ ต่างๆ ที่เป็นความรู้ • ภาพถ่าย พิมพ์เขียว ไดอะแกรม • ฟิล์มและเทปสำหรับเก็บภาพเคลื่อนไหว ภาพโทรทัศน์ ภาพยนตร์ • เทปเสียง สำหรับเก็บเสียง และการสนทนา

  28. แหล่งความรู้ • คำแนะนำ และ วิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุด • ตำรา และเอกสารปฏิบัติงาน • รายงานการค้นคว้า และผลงานวิจัย • การดูงาน • การประชุมและปรึกษาหารือ • หนังสือ อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ วิทยุ • ประสบการณ์ของบุคลากร • การทำงานร่วมกันของบุคลากร • การปรึกษากันระหว่างบุคลากรกับผู้รับบริการ • ความรู้ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างภายใน • ความรู้ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างภายนอก • ความเชื่อ • คุณค่า • เกณฑ์ กลาง • การพูดคุยสนทนา • การระดมสมอง • การสร้างสิ่งประดิษฐ์และอุปกรณ์

  29. Explicit Knowledge management tool • Content Management System - CMS • BLOG • Collaboration Tool • Wiki • Internet Forum

  30. Content management system - CMS • CMS (Content ManagementSystem) ระบบจัดการบริหารข้อมูลเว็บไซต์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารข้อมูลภายในเว็บไซต์ซึ่งสามารถสนับสนุนการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงข้อมูลต่างๆภายในเว็บไซต์ โดยทำการควบคุมเนื้อหา รูปแบบ และกระบวนการนำเสนอเนื้อหา • Drupalhttp://drupal.org/ • http://demo.opensourcecms.com/e107/e107_admin/admin.php • Alfresco (http://dev.alfresco.com) openSource ECM (Enterprise Content Management) • Knowledgetree (http://www.ktdms.com/): ระบบการจัดการเอกสาร(document management) • Exponenthttp://www.exponentcms.org/ • Typo3 http://typo3.com • Joomlahttp://www.joomla.org/ • Nucleushttp://www.nucleuscms.org/ • List of CMS http://www.opensourcescripts.com/dir/Content_management_,040CMS,041

  31. Blog • Blog มาจากคำเต็มว่า WeBlog บางครั้งอ่านว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log • Blogคือการบันทึกบทความของตนเอง(Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาเป็นเรื่องใดก็ได้ ซึ่งข้อมูลจะประกอบด้วยข้อความ รูป และลิงค์ เป็นต้น • blogging การเพิ่มบทความให้กับ blog ที่มีอยู่ เรียกว่า • posts หรือ entries คือ บทความใน blog • blogger บุคคลที่โพสต์ลงใน entries

  32. Blog • สมุดบันทึกของแต่ละบุคคล • เว็บไซต์เพื่อเขียนบันทึกเล่าเรื่องราว • เรียงไล่ลำดับย้อนหลังตามวันเวลาการเขียนไปเรื่อยๆ • มักจะมีการลิงค์ในเนื้อหา หรือ รวมลิงค์ • แยกแยะเป็นกลุ่มๆ ตามหัวข้อหลักที่ผู้เขียนสร้างขึ้น • มีการเสนอความคิดเห็นต่างๆ เพิ่มเติม

  33. จุดเด่นของ Blog 1) Blog เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียน Blog และผู้อ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน 2) มีความสะดวกและง่ายในการเขียน Blog ทำให้สามารถเผยแพร่ความคิดเห็นของผู้เขียน Blog ได้ง่ายขึ้น 3) Comment จากผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันบางครั้งทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ

  34. Blog แตกต่างจากเว็บอื่นๆ อย่างไร • การใส่ข้อมูลใหม่ทำได้ง่าย • มี template อัตโนมัติช่วยจัดการ • มีการกรองเนื้อหาแยกตามวัน ประเภทผู้แต่งหรืออื่นๆ • ผู้ดูแลจัดการ Blog สามารถเชิญ หรือ เพิ่มผู้แต่งคนอื่น โดยจัดการเรื่องการอนุญาตและการเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย • เจ้าของ Blogจะเป็นผู้สร้างหัวข้อสนทนาเท่านั้น

  35. Blog Blogging และวิถีชีวิตของคน • Blog ส่งผลกระทบต่อสังคมได้ เช่นบาง Blog นั้นลูกจ้างอาจจะก่อรำคาญใจต่อนายจ้างและทำให้บางคนถูกไล่ออก • คนใช้ Blog ในทางอื่นๆ เช่นส่งข้อความสู่สาธารณะ อาจจะมีปัญหาตามมาได้ คือการไม่เคารพทรัพย์สินทางปัญญา หรือการให้ข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือได้ • บางครั้งการสร้างข่าวลือก็เอื้อประโยชน์ต่อสื่อสารมวลชนที่สนใจเรื่องนั้น ๆ ได้ • Blog เป็นการรวบรวมความคิดของมนุษย์ สามารถนำมาใช้ช่วยกับปัญหาด้านจิตวิทยา , อาชญากรรม , ชนกลุ่มน้อย ฯลฯ • Blog เป็นช่องทางเผยแพร่งานพิมพ์อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ

  36. ตัวอย่าง Blog

  37. ตัวอย่างหน้าจอการ post ข้อความใน BLog

  38. Collaboration Tools: WiKipedia • Wikpedia • สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์ โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร html เหมือนแต่ก่อน • Wiki เน้นการทำระบบสารานุกรม HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกันโดยเฉพาะ • มีเครื่องมือที่ใช้ทำ Wiki หลายอย่าง เช่น Wikipedia เป็นต้น • Wikipedia เป็นระบบสารานุกรม(Encyclopedia) สาธารณะ ที่ทุกคนสามารถใส่ข้อมูลลงไปได้ รองรับภาษามากกว่า 70 ภาษารวมทั้งภาษาไทย • มีการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์วิกิที่สำคัญยิ่งในการสร้างสารานุกรม ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาร่วมกันสร้างสารานุกรมที่http://www.wikipedia.org

  39. Collaboration Tools: WiKipedia • Wikpedia • วิกิพีเดียในภาคภาษาไทยที่ http://th.wikipedia.org • ในปัจจุบันวิกิพีเดียถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ • ซอฟต์แวร์เพื่อสังคมที่ดีพึงคงคุณลักษณะของการเปิดพื้นที่ให้กับปัจเจกบุคคลในการสื่อต่อสาธารณะโดยมีการควบคุมน้อยที่สุด • เพื่อให้การประมวลสังคม เป็นไปอย่างอิสระปราศจากการครอบงำจากเจ้าของเทคโนโลยีให้มากที่สุด • ดังนั้นการสร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสังคมใดๆ พึงตระหนักถึงหลักการเคารพในสิทธิของปัจเจก (individual)ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

  40. Wikipediahttp://th.wikipedia.org

  41. Collaboration Tools: WiKipedia • MediaWiki (http://www.mediawiki.org/) http://www.mediawiki.org/ • Wikipediahttp://wikipedia.org/ • WikiQuotehttp://wikiquote.org/ • WikiBookshttp://wikibooks.org/ • List of Wiki Engineshttp://c2.com/cgi/wiki?WikiEngines

  42. Collaboration Tools: Internet forum • Internet Forum • ทำหน้าที่คล้าย bulletin board และ newsgroup • รวบรวมข้อมูลทั่วๆไป เช่น เทคโนโลยี เกมคอมพิวเตอร์ และการเมือง • ผู้ใช้สามารถโพสต์หัวข้อลงไปในกระดานได้ • ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั่งโพสต์ ความคิดเห็นของตนเองลงไปได้

  43. Forum เรื่อง Computer และ Internet

  44. Collaboration Tools: • Collaborative Real-Time Editors: เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้หลายคนสามารถแก้ไขข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์จากแหล่งต่างๆ • Google Docs (NotOpenSource) http://docs.google.com/ • Gobbyhttp://darcs.0x539.de/trac/obby/cgi-bin/trac.cgi • OpenEfforthttp://www.openeffort.com/ • List of Real Time Editorshttp://en.wikipedia.org/wiki/Collaborative_real-time_editor

  45. กรณีศึกษา GotoKnow.org(BLOG)

  46. GotoKnow.org – blog เพื่อการจัดการความรู้

  47. บริหาร blog ได้เองอย่างเว็บส่วนตัว

  48. การนำ blog ไปใช้เพื่อการจัดการความรู้ • เป็นสมุดบันทึกความรู้เชิงปฏิบัติ และ เรื่องราวแห่งความสำเร็จ • เป็นสมุดบันทึกกิจกรรมที่จะทำ และ AAR – After Action Review • เป็นเครื่องมือสร้างความรู้รวบรวมความรู้เป็นหมวดหมู่ • เป็นการสร้างเครือข่ายชุมชนนักปฏิบัติ • เป็นตู้เก็บเอกสาร รูปภาพ และ multimedia • เป็นเครื่องมือเผยแพร่ความรู้ • เป็นเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ • เป็นเวทีพูดจาสนทนาทักทาย

  49. ชุมชนบล็อก GotoKnow.org ประวิทย์ จากตรัง วาสนา จากชัยภูมิ Bloggers Blog communities A C D B GoToKnow Knowledge Repository

More Related