560 likes | 870 Views
องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์. BCOM1101 ความรู้พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ธุรกิจ. 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware). 2. ซอฟต์แวร์ (software). 3. บุคลากร ( peopleware ). 4. ข้อมูล (data) และสารสนเทศ (information). 5. กระบวนการทำงาน และคู่มือปฏิบัติงาน. Contents.
E N D
องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ BCOM1101 ความรู้พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
1 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) 2 ซอฟต์แวร์ (software) 3 บุคลากร (peopleware) 4 ข้อมูล(data)และสารสนเทศ(information) 5 กระบวนการทำงานและคู่มือปฏิบัติงาน Contents
แหล่งที่มา http://teacher.snru.ac.th/piyawan/admin/news/files/ch%202%20comsystem.ppt
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) • เป็นอุปกรณ์ที่จับต้องได้ สัมผัสได้ มองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม มีทั้งที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวเครื่อง (เช่น ซีพียู เมนบอร์ด แรม) และที่ติดตั้งอยู่ภายนอก (เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ จอภาพ เครื่องพิมพ์)
2. ซอฟต์แวร์ (software) • ส่วนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่บรรจุคำสั่งเพื่อให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ โดยปกติแล้วจะถูกสร้างโดยบุคคลที่เรียกว่า นักเขียนโปรแกรม (programmer) • เป็นองค์ประกอบทางนามธรรม ไม่สามารถจับต้องหรือสัมผัสได้เหมือนกับฮาร์ดแวร์ • อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ • ซอฟต์แวร์ระบบ • ซอฟท์แวร์ประยุกต์
2.1 ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) • ทำหน้าที่ควบคุมระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ ระบบปฏิบัติการหรือ OS (OperatingSystem) มีทั้งที่ต้องเสียเงินอย่างเช่น Windows และให้ใช้ฟรี เช่น Linux เป็นต้น
2.1 ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) • ควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์โดยรวม • ตรวจสอบเมื่อมีการติดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ใดๆ • ช่วยให้การทำงานที่เกี่ยวข้องราบรื่น ไม่ติดขัด • ตรวจสอบและรายงานความผิดพลาดเกี่ยวกับระบบ • กำหนดสิทธิการใช้งาน และหน้าที่ต่างๆเกี่ยวกับการจัดการไฟล์
2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)d • ซอฟต์แวร์ที่สามารถติดตั้งได้ในภายหลังจากที่ ติดตั้งระบบปฎิบัติการแล้ว • ปกติมุ่งใช้กับงานเฉพาะอย่าง เช่น งานด้านบัญชี งานด้านเอกสารหรืองานควบคุมสินค้าคงเหลือ • อาจมีบริษัทผู้ผลิตทำขึ้นมาเพื่อจำหน่ายโดยตรง มีทั้งที่ให้ใช้ฟรี ซื้อทำเอง หรือจ้างเขียนโดยเฉพาะ
ซอฟต์แวร์ (Software) ในประเทศไทย • เขตอุตสาหกรรมซอฟแวร์ • Software Park (www.swpark.or.th) แหล่งสนับสนุนการพัฒนาซอฟแวร์สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก • สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟแวร์แห่งชาติ (SIPA-Software Industry Promotion Agency) www.sipa.or.th • ส่งเสริมให้คนไทยพัฒนาซอฟแวร์ไว้ใช้เอง • พัฒนาเพื่อการส่งออก นำรายได้เข้าประเทศ
3. บุคลากร (Peopleware) • บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์พอจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ 3.1 ผู้ใช้งานทั่วไป 3.2 ผู้เชี่ยวชาญ 3.3 ผู้บริหาร
3.1 บุคลากร - กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป • ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ (User/EndUser) • เป็นผู้ใช้งานระดับต่ำสุด ไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญมาก • อาจเข้ารับการอบรมบ้างเล็กน้อยหรือศึกษาจากคู่มือการปฏิบัติงานก็สามารถใช้งานได้ • บุคลากรกลุ่มนี้มีจำนวนมากที่สุดในหน่วยงาน • ลักษณะงานมักเกี่ยวข้องกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป เช่น งานธุรการสำนักงาน งานป้อนข้อมูล งานบริการลูกค้าสัมพันธ์ (callcenter) เป็นต้น
3.1 บุคลากร - กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป
3.2 บุคลากร - กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3.2.1 ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์(Computer Operator/ComputerTechnician) 3.2.2 นักวิเคราะห์ระบบ (SystemAnalyst) 3.2.3 นักเขียนโปรแกรม (Programmer) 3.2.4 วิศวกรซอฟต์แวร์ (SoftwareEnginering) 3.2.5 ผู้ดูแลเน็ตเวิร์ก (NetworkAdministrator)
3.2 บุคลากร - กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3.2.1 ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์(ComputerOperator/ComputerTechnician) • มีความชำนาญทางด้านเทคนิคโดยเฉพาะ • มีทักษะและประสบการณ์ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี • หน้าที่หลักคือ การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบในหน่วยงานให้ใช้งานได้ตามปกติ
3.2 บุคลากร - กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3.2.2 นักวิเคราะห์ระบบ (SystemAnalyst) • มีหน้าที่วิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้รวมไปถึงผู้บริหารของหน่วยงานว่าต้องการระบบโปรแกรมหรือลักษณะงานอย่างไร เพื่อจะพัฒนาระบบงานให้ตรงตามความต้องการมากที่สุด • ออกแบบกระบวนการทำงานของระบบโปรแกรมต่างๆทั้งหมดด้วย • มีการทำงานคล้ายกับสถาปนิกออกแบบบ้าน
การทำงานของสถาปนิก การทำงานของนักวิเคราะห์ระบบ
3.2 บุคลากร - กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3.2.3 นักเขียนโปรแกรม (Programmer) • ชำนาญเรื่องการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ตามที่ตนเองถนัด • มีหน้าที่และตำแหน่งเรียกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่ปฏิบัติ เช่น • webprogrammer • applicationprogrammer • systemprogrammer
3.2 บุคลากร - กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3.2.4 วิศวกรซอฟต์แวร์ (SoftwareEnginering) • ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์และตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่พัฒนาอย่างมีแบบแผน • อาศัยหลักการทางวิศวกรรมศาสตร์มาช่วย เช่น วัดค่าความซับซ้อนของซอฟท์แวร์ และหาคุณภาพของซอฟต์แวร์ที่ผลิตขึ้นมาได้ • มีทักษะและความเข้าใจในการพัฒนาซอฟต์แวร์มากพอสมควร • อยู่ในทีมงานพัฒนาซอฟต์แวร์กลุ่มเดียวกับนักเขียนโปรแกรมและนักวิเคราะห์ระบบ • พบเห็นได้กับการผลิตซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น การสร้างระบบปฏิบัติการ การเขียนโปรแกรมเกมส์
เปรียบเทียบการทำงานของวิศวกรซอฟต์แวร์เปรียบเทียบการทำงานของวิศวกรซอฟต์แวร์
3.2 บุคลากร - กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3.2.5 ผู้ดูแลเน็ตเวิร์ก (NetworkAdministrator) • ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลและบริหารระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร • เกี่ยวข้องกับลักษณะงานด้านเครือข่ายโดยเฉพาะ เช่น การติดตั้งระบบเครือข่ายการควบคุมสิทธิของผู้ที่จะใช้งาน การป้องกันการบุกรุกเครือข่าย เป็นต้น • มีความชำนาญเกี่ยวกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี และต้องมีทักษะในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
ลักษณะงานของผู้ดูแลเน็ตเวิร์กลักษณะงานของผู้ดูแลเน็ตเวิร์ก
3.3 บุคลากร - กลุ่มผู้บริหาร • ผู้บริหารสูงสุดด้านสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ (CIO – ChiefInformationOfficer) • ตำแหน่งสูงสุดทางด้านการบริหารงานคอมพิวเตอร์ในองค์กร • ทำหน้าที่กำหนดทิศทาง นโยบาย และแผนงานทางคอมพิวเตอร์ทั้งหมด • มักพบเห็นในองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น • สำหรับในองค์กรขนาดเล็กอาจจะ ไม่มีตำแหน่งนี้
3.3 บุคลากร - กลุ่มผู้บริหาร • หัวหน้างานด้านคอมพิวเตอร์ (ComputerCenterManager/InformationTechnologyManager) • มีหน้าที่ดูแลและกำกับงานทางด้านคอมพิวเตอร์ให้บรรลุเป้าหมายตามแผนงานและทิศทางที่ได้วางไว้โดย CIO • อาจต้องจัดเตรียมการบริการฝึกอบรม การให้คำปรึกษา คำแนะนำกับผู้ใช้งาน รวมถึงสร้างกฎระเบียบ มาตรฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์ของบริษัทร่วมกันด้วย
หัวหน้างานด้านคอมพิวเตอร์ (ComputerCenterManager/InformationTechnologyManager) • อาจต้องจัดเตรียมการบริการฝึกอบรม การให้คำปรึกษา คำแนะนำกับผู้ใช้งาน รวมถึงสร้างกฎระเบียบ มาตรฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์ของบริษัทร่วมกันด้วย
4. ข้อมูล/สารสนเทศ (Data/Information) • การทำงานของคอมพิวเตอร์จะเกี่ยวข้องตั้งแต่การนำข้อมูลเข้า (data)จนกลายเป็นข้อมูลที่สามารถใช้ประโยชน์ต่อได้หรือที่เรียกว่าสารสนเทศ (information) • ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร และข้อมูลในรูปแบบอื่นๆเช่น ภาพ เสียง เป็นต้น • ข้อมูลที่จะนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ ต้องแปลงรูปแบบหรือสถานะให้คอมพิวเตอร์เข้าใจเสียก่อน • สถานะหรือรูปแบบนี้เราเรียกว่า สถานะแบบดิจิตอล
สถานะแบบดิจิตอล • มีเพียง 2 สถานะเท่านั้นคือ เปิด (1) และ ปิด (0) เหมือนกับหลักการทำงานของไฟฟ้า • อาศัยการประมวลผลโดยใช้ ระบบเลขฐานสอง หรือที่เรียกว่า binarysystemเป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วยตัวเลขเพียง 2 ตัวเท่านั้น คือ 0 กับ 1
สถานะแบบดิจิตอล • ตัวเลข 0 กับ 1 เราเรียกว่าเป็นตัวเลขฐานสองหรือไบนารีดิจิต (binarydigit)มักเรียกย่อๆว่า บิต(bit)นั่นเอง • เมื่อบิตหลายตัวรวมกันจำนวนหนึ่ง (ขึ้นอยู่กับรหัสการจัดเก็บ) เช่น 8 บิต เราจะเรียกหน่วยจัดเก็บข้อมูลนี้ใหม่ว่าเป็น ไบต์ (byte)ซึ่งสามารถใช้แทน ตัวอักษร ตัวเลข อักขระพิเศษที่เราต้องการป้อนข้อมูลเข้าไปในเครื่องแต่ละตัวได้
สถานะแบบดิจิตอล • กลุ่มตัวเลขฐานสองต่างๆที่นำเอามาใช้นี้ จะมีองค์กรกำหนดมาตรฐานให้ใช้บนระบบคอมพิวเตอร์อยู่หลายมาตรฐานมาก • ที่รู้จักดีและเป็นนิยมแพร่หลายคือมาตรฐานของสถาบันมาตรฐานแห่งสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า รหัสแอสกี (ASCII : AmericanStandardCodeforInformationInterchange)
หน่วยวัดความจุข้อมูล ค่าโดยประมาณมีค่าใกล้เคียงกับ 1,000 และค่าอื่น ๆ เช่น MB มีค่าใกล้เคียง 1,000,000 จึงนิยมเรียกว่าเป็น kilo (ค่าหนึ่งพันหรือ thousand) และ mega (ค่าหนึ่งล้านหรือ million)
ตัวอย่างการคำนวณความจุตัวอย่างการคำนวณความจุ • ขนาดความจุฮาร์ดดิสก์ของผู้ขาย = 40 GB = 40 000 000 000bytes • เมื่อทำการ Format (ซึ่งใช้หน่วยวัดข้อมูลต่างกัน) จะได้ค่าใหม่ดังนี้ แปลงหน่วยเป็น KiB = 40 000 000 000 / 1024 =39 062 500 KiB แปลงหน่วยเป็น MiB = 39 062 500 / 1024 = 38 146.97265625 MiB แปลงหน่วยเป็น GiB = 38 146.97265625 / 1024 = 37.252902984619140625 GiB หรือประมาณ 37 GiB
การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ข้อมูลต่างๆ ที่นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์มีหลายรูปแบบ เช่น • ข้อมูลอักขระ (Character) ที่ประกอบไปด้วยเลขฐานสิบ (DecimalNumber) ตัวอักษร และสัญลักษณ์พิเศษอื่นๆ เช่น $, %, *, ? • ข้อมูลสัญญาณอนาลอกเช่น ข้อมูลเสียง
การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ • ข้อมูลภาพ ข้อมูลเหล่านี้เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถนำไปประมวลผลได้ เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์สร้างจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถรับรู้ได้เพียง 2 สถานะ คือ สภาวะกระแสไฟฟ้าเปิด/ปิด (on/off) ระบบสองสภาวะนี้เรียกว่า ระบบเลขฐานสอง (BinaryNumberSystem) โดยจะแทนสภาวะที่มีกระแสไฟฟ้าเปิดหรือมีกระแสไฟฟ้าด้วย 1 และการไม่มีกระแสไฟฟ้าด้วย 0 ซึ่งตัวเลข 0 และ 1 แต่ละตัวเรียกว่า บิต (Bit)
การเปลี่ยนเลขฐาน 2, 8, 16เป็น เลขฐาน 10 • หลักการคือ นำเลขฐานต่าง ๆ โดยนำตัวเลขทางด้านขวามาตั้งและคูณด้วยตัวเลขฐานนั้น ๆ ยกกำลังเริ่มต้นด้วย 0 และเพิ่มค่าตัวเลขยกกำลังเรื่อย ๆ จนครบตัวเลขฐานทุกตัว แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาบวกรวมกัน จะมีค่าเท่ากับเลขฐาน 10
การเปลี่ยนเลขฐาน 2, 8, 16 เป็น เลขฐาน 10 • พิจารณา เลขฐาน 10891010= (8x103) + (9x102) + (1x101) + (0x100).89110= (8x10-1) + (9x10-2) + (1x10-3) • เลขฐาน 2 เป็น ฐาน 10 (BinarytoDecimalConversion)110102= (1x24) + (1x23) + (0x22) + (1x21) + (0x20) = 2610.10112= (1x2-1) + (0x2-2) + (1x2-3) + (1x2-4) = .687510
การเปลี่ยนเลขฐาน 2, 8, 16เป็น เลขฐาน 10 • เลขฐาน 8 เป็น ฐาน 10 (OctaltoDecimalConversion)72548= (7x83) + (2x82) + (5x81) + (4x80) = 375610.7258= (7x8-1) + (2x8-2) + (5x8-3) = 0.91601562510 • เลขฐาน 16 เป็น ฐาน 10 (HexadecimaltoDecimalConversion)8A416= (8x162) + (10x161) + (4x160) = 221210.BCE16= (11x16-1) + (12x16-2) + (14x16-3) = 0.737792968810
การเปลี่ยนเลขฐาน 10 เป็น เลขฐาน 2, 8, 16 • หลักการคือ นำเลขฐาน 10 ตัวนั้นมาตั้ง หารด้วยเลขฐานที่ต้องการไปเรื่อย ๆ จนกว่าผลลัพธ์จะเป็น 0 • ในการหารแต่ละครั้งให้เก็บเศษไว้ เมื่อการหารสิ้นสุดแล้ว ให้นำเศษมาเรียงกันจากล่างขึ้นบนก็จะได้เลขฐานที่แปลงไป
ตัวอย่างการแปลงเลขฐาน 10 เป็นฐาน 2 2 2 2 2 2 2 2 2 2 594 297 148 74 37 18 9 4 2 1 59410 0 1 0 0 1 0 1 0 0 59410 =10010100102
ตัวอย่างการแปลงเลขฐาน 10 เป็นฐาน 8 59410 594 74 9 1 8 8 8 2 2 1 59410=11228
ตัวอย่างการแปลงเลขฐาน 10 เป็นฐาน 16 59410 16 16 594 74 2 2 5 59410=25216
การจัดเก็บตัวเลขให้คอมพิวเตอร์การจัดเก็บตัวเลขให้คอมพิวเตอร์ • การแทนตัวเลขจำนวนเต็มไม่รวมเครื่องหมาย0000 0000 = 0 0000 0001 = 10010 1001 = 41 • การแทนตัวเลขจำนวนเต็มรวมเครื่องหมายจะกำหนดบิตแรก(ซ้ายมือสุด) เป็นตัวกำหนดเครื่องหมาย ถ้า 0 มีค่าเป็นบวก ถ้า 1 มีค่าเป็นลบ0001 0010 = 181001 0010 = -18
การเก็บอักขระในคอมพิวเตอร์การเก็บอักขระในคอมพิวเตอร์ • EBCDIC (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) • ASCII (American Standard Code for Information Interchange) • UNICODE
EBCDIC • พัฒนาโดย IBM • เป็นการแทนอักขระขนาด 8 บิต • ใช้บนเครื่องไอบีเอ็มเมนเฟรม และมินิคอมพิวเตอร์
ASCII • นิยมใช้กันมากในเครื่องพีซีทั่วไป • เดิมมีขนาด 7 บิต จึงเรียกว่า ASCII-7 ซึ่งแทนอักขระได้ 128 ตัว ซึ่งรองรับภาษาอังกฤษได้เท่านั้น • ต่อมาพัฒนาเป็น 8 บิต หรือ ASCII-8 ซึ่งแทนอักขระได้ 256 ตัว ทำให้รองรับภาษาได้มากขึ้น