380 likes | 779 Views
การทำงานเขื่อนดินในภาวะวิกฤต. สรุปบทเรียนโครงการอ่างเก็บน้ำลำพันชาด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองกุงทับม้า อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี. สภาพเดิมก่อนการก่อสร้าง พ.ศ.2538. สภาพการก่อสร้าง พ.ศ.2539. สภาพพื้นที่ ปี 2547. ช่างกล. จักรกลหนัก. การเงิน. งาน. พัสดุ. ก่อสร้าง.
E N D
การทำงานเขื่อนดินในภาวะวิกฤตการทำงานเขื่อนดินในภาวะวิกฤต สรุปบทเรียนโครงการอ่างเก็บน้ำลำพันชาด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองกุงทับม้า อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี
สภาพเดิมก่อนการก่อสร้างสภาพเดิมก่อนการก่อสร้าง พ.ศ.2538
สภาพการก่อสร้าง พ.ศ.2539
สภาพพื้นที่ ปี 2547
ช่างกล จักรกลหนัก การเงิน งาน พัสดุ ก่อสร้าง ธุรการ สำรวจ วิศวกรรม กลยุทธ์ในการทำงาน การสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ประสานงานใน หน่วยงาน
การวางแผนผันน้ำให้สัมพันธ์กับปริมาณงานการวางแผนผันน้ำให้สัมพันธ์กับปริมาณงาน ทำนบดินชั่วคราวตัวบน
การหน่วงน้ำ และการผันน้ำ ทำนบดินชั่วคราวตัวบน
การวางแผนผันน้ำให้สัมพันธ์กับปริมาณงานการวางแผนผันน้ำให้สัมพันธ์กับปริมาณงาน ทำนบดินชั่วคราวตัวล่าง
การหน่วงน้ำ และการผันน้ำ ทำนบดินชั่วคราวตัวล่าง
การวางแผนผันน้ำระหว่างบดอัดทำนบดินการวางแผนผันน้ำระหว่างบดอัดทำนบดิน
การวางแผนการทำงานถมบดอัดทำนบดิน พิจารณาการเร่งบดอัดถมดินตัวทำนบดินในช่วงเวลาที่วิกฤตน้ำหลากโดยต้องแข่งกับเวลา โดยวางแผนจัดกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชม.
ข้อพิจารณา ช่วงน้ำหลาก 1 ตรวจสอบปริมาณน้ำฝนที่ตกติดต่อกันทุกวัน ทำให้ระดับน้ำด้านเหนือน้ำของทำนบดินเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 2 วางแผนสำรองบ่อดินทีดินมีคุณลักษณะทึบน้ำ (GC)ไว้ด้านท้ายน้ำ 3 เร่งการบดอัดถมดินโดยวางแผนกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น 3 ชุด ชุดละ 8 ชั่วโมง 4 ให้เร่งถมบดอัดดินด้านเหนือน้ำของทำนบดินให้สูงไว้ก่อน โดยวางแผนให้ถมสูงถึงระดับ +197.00 สูงกว่าสัน CREST อาคารระบายน้ำลันประมาณ 3.00 เมตร เพื่อให้น้ำระบายผ่านออกทางอาคารระบายน้ำล้น ตัวทำนบดินจึงจะปลอดภัยจากน้ำข้ามสันทำนบดิน (แต่ปฏิบัติจริงช่วงน้ำหลาก ณ วันที่ 3 กันยายน 2550 ถมดินทำนบด้านหน้าได้เพียงที่ระดับ +195.75) เหตุผลความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน 1 หากไม่เร่งดำเนินการถมดินให้สูงกว่า ระดับสัน crest อาคารระบายน้ำลัน เพื่อให้น้ำระบายผ่านออกทางอาคารระบายน้ำล้น ระดับน้ำจะล้นข้ามสันทำนบดิน(Over top) ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้านท้ายน้ำอย่างรุนแรง 2 หากไม่ดำเนินการจะเกิดความเสียหายต่อองค์อาคารของทำนบดินและอาคารประกอบ 3 หากไม่ดำเนินการจะสูญเสียและสิ้นเปลืองงบประมาณค่าก่อสร้าง
TOP OF FLOWLINE ระดับดินที่ถม+195.75 ระดับสันทำนบดิน+198.50 ระดับน้ำวันที่ 3 ก.ย.2550 +195.10 รนก.+196.26 รนก.+194.00 +191.10 +191.10 +186.00 1 1 6 1 รนต.+185.00 +180.00 .+183.00 ระดับดิน ปี 2550 ช่วงวิกฤตระดับน้ำด้านเหนือน้ำยกตัวขันสูงที่ระดับ +195.10 กลุ่มงานฯได้ตัดสินใจเร่งถมดินด้านเหนือน้ำโดยใช้ดินที่บดอัดทำนบดินด้านท้ายน้ำมาถมบดอัด ด้านหน้าโดยใช้สัดส่วน ทางตั้งและทางราบ ไม่ให้น้อยกว่า 1 ต่อ 6 รูปตัดทำนบดินโครงการอ่างเก็บน้ำลำพันชาด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.หนองกุงทับม้า อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี
วิกฤตน้ำหลาก กันยายน 2550
การวางแผนถมดินทำนบดินการวางแผนถมดินทำนบดิน ช่วงวิกฤตการณ์น้ำ
3 กันยายน 2550 ระดับน้ำด้านเหนือน้ำยกตัวขึ้นสูงสุดที่ระดับ +195.10
เร่งถมบดอัดดินตัวทำนบเร่งถมบดอัดดินตัวทำนบ เพื่อให้น้ำระบายผ่านออกทางอาคารระบายน้ำล้น
วิกฤตการณ์น้ำ ขณะก่อสร้าง
วิกฤตการณ์น้ำ ขณะก่อสร้าง
วิกฤตการณ์น้ำ ขณะก่อสร้าง
วิกฤตการณ์น้ำ ขณะก่อสร้าง
ขนย้ายดินจากบ่อยืมดินด้านท้ายน้ำขนย้ายดินจากบ่อยืมดินด้านท้ายน้ำ
วิกฤตการณ์น้ำ ขณะก่อสร้าง
24 ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ ปี 2551
การทำงานเขื่อนดินในภาวะวิกฤตการทำงานเขื่อนดินในภาวะวิกฤต สรุปบทเรียน อ่างเก็บน้ำลำพันชาด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองกุงทับม้า อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี เรื่องเดิม ปีงบประมาณ ๒๕๕๐ กลุ่มงานก่อสร้าง ๒/๑/๐๕ ได้รับงบประมาณปลายเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เริ่มดำเนินการถมดินตัวทำนบ ซึ่งมีปริมาณดินถม ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ลบ.ม. ในปีงบประมาณ ๒๕๕๐ จากปริมาณดินถมทั้งหมด ๕๐๐,๐๐๐ ลบ.ม.โดยรีบเร่งดำเนินการถมดิน เนื่องจากมีปัญหาด้านระบายน้ำเนื่องจากไม่มีอาคารท่อ RIVER OUTLET ในการช่วยผันระบายน้ำ กลุ่มงานต้องวางแผนให้เครื่องจักรกลหนัก ขนย้ายดินในบ่อยืมดินที่อยู่ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำในจุดที่อยู่ลึก ก่อนแล้วค่อยขนย้ายดินในบ่อยืมดินที่อยู่ในที่สูงขึ้นมาเป็นลำดับ เพราะหากน้ำมาบ่อยืมดินในจุดที่ลึกจะ ถูกน้ำท่วมก่อน ทำให้ไม่สามารถนำดินในจุดนั้นมาใช้ได้
เรื่องเดิม (ต่อ) ดินที่ถูกบดอัดตัวทำนบมีปริมาตร ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรการวางแผนถม ดินบดอัดแน่นการพิจารณาประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่ทำการบดอัดแน่นได้ต่อวัน คือ เวลาทำงาน ๘ ชั่วโมง ว่าได้ปริมาตร กี่ลูกบาศก์เมตร ต่อวัน ซึ่งทางกลุ่มงานฯ ได้วางแผนจำนวนวันดังนี้ ช่วงทำงานเริ่มเดือน มีนาคม - สิงหาคม รวม ๖ เดือน เป็นจำนวน ๑๘๐ วัน ซึ่งต้องถมดิน บดอัดแน่นให้ได้วันละ ๒,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร จึงจะแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ กลุ่มงานต้องวางแผน ระบายน้ำในลำน้ำเดิมให้ผ่านท่อ Outlet ระบายออกไปลงลำน้ำเดิมด้านท้ายน้ำโดยใช้ ท่อเหล็ก Ø ๘” และเครื่องสูบน้ำช่วยในการสูบน้ำ ซึ่งจากการเร่งรัดการทำงานถมบดอัดแน่นดินในระยะแรก ทำให้ช่วง ต่อมาคือช่วงเดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๐ เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานเริ่มชำรุดและเสียหาย ต้องส่งซ่อมบำรุง ทำให้ประสิทธิภาพในการบดอัดแน่นดินได้ไม่ถึง ๒,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวัน กลุ่มงานฯ จึงดำเนินการเพิ่มเวลาการทำงานจากวันละ ๘ ชั่วโมง เป็นวันละ ๒๔ ชั่วโมง โดยแบ่ง เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานออกเป็น ๓ ชุด (ชุดละ ๘ ชั่วโมง) เพื่อเร่งงานดินถมบดอัดแน่นให้ทันตามแผน
เรื่องเดิม (ต่อ) ช่วงเดือน กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๐ เริ่มมีฝนตกบริเวณพื้นที่รับน้ำฝนด้านเหนือทำนบดิน ทำให้กลุ่มงานฯ ต้องประชุมประเมินสถานการณ์ ซึ่งถ้าปริมาตรน้ำมากขึ้น น้ำอาจจะยกตัวสูงจนข้าม สันทำนบดิน (OVERTOP) ในขณะที่กำลังถมบดอัดแน่นดินยังไม่ถึงระดับสันทำนบดิน สรุปแล้ว กลุ่มงานฯจึงกำหนดแผนฉุกเฉินให้ถมดินบดอัดแน่น เฉพาะด้านหน้าทำนบดินขึ้นไปก่อน ต้นเดือน สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ฝนเริ่มตกบริเวณพื้นที่รับน้ำ (WATER SHADE) ๔๔๗ ตารางกิโลเมตร เหนือทำนบดินอ่างเก็บน้ำลำพันชาด ติดต่อกันเกือบทุกวันโดยตลอด ซึ่งปริมาณน้ำฝนที่ตกมากบางวัน ประมาณ ๑๑๕ มิลลิเมตร ระดับน้ำหน้าทำนบดินเริ่มยกตัวสูงขึ้นตามลำดับซึ่งการบดอัดถมดินตัว ทำนบดินทำได้ถึงระดับ +๑๙๑.๑๐๐ ส่วนระดับสัน CREST ของอาคารระบายน้ำล้น (SPILLWAY) ระดับ+๑๙๔.๐๐๐ ซึ่งกลุ่มงานก่อสร้าง ๒/๑/๐๕ ต้องเร่งถมบดอัดดินตัวทำนบดินให้ได้สูงกว่าระดับสัน CREST ของอาคารระบายน้ำล้นประมาณ ๓.๐๐ ม. คือที่ระดับ +๑๙๗.๐๐๐ เพื่อให้น้ำระบายผ่าน ออกทางอาคารระบายน้ำล้นตัวทำนบดินจึงจะปลอดภัยจากน้ำข้ามสันทำนบดิน (OVERTOP)
เรื่องเดิม (ต่อ) แต่จากปริมาณฝนที่ตกติดต่อกันทุกวัน ทำให้ระดับน้ำด้านเหนือน้ำของทำนบดินเพิ่มสูงขึ้น อย่างรวดเร็ว ประกอบกับความจำกัดของบ่อยืมดินที่ใกล้ด้านท้ายทำนบดิน มีดินสำรองน้อยอาจไม่ พอต่อการถมดินบดอัดทำนบในกรณีเร่งด่วน (เดิมกลุ่มงานก่อสร้าง ๒/๑/๐๕ ได้วางแผนสำรองบ่อดิน ที่มีคุณลักษณะทึบน้ำ GC. ไว้ด้านท้ายน้ำไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน) กลุ่มงานก่อสร้าง ๒/๑/๐๕ ได้ประชุมทีมงานเจ้าหน้าที่ทุกส่วนเพื่อพิจารณาการเร่งบดอัดถมดิน ตัวทำนบดินในช่วงเวลาที่วิกฤติน้ำหลากโดยต้องแข่งกับเวลา โดยวางแผนจัดกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักร กลปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชม. และต้องประสานงานกับเจ้าหน้าที่ปกครองทางอำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี เพื่อเตรียมแผนเตือนภัย และอพยพราษฎรที่อยู่ด้านท้ายน้ำในเขต อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี อำเภอสามชัย อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ หากเกิดกรณีถมบดอัดดินตัวทำนบดิน ไม่ทันและน้ำล้นข้ามสันทำนบดิน (OVER TOP) โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี สอบถามสถานการณ์เป็นระยะ
การพิจารณาบดอัดดินเร่งด่วนของอ่างเก็บน้ำลำพันชาด เพื่อหนีน้ำในช่วงวิกฤต กลุ่มงานก่อสร้าง ๒/๑/๐๕ ได้พิจารณาวางแผนการปฏิบัติงานโดยถมบดอัดดินด้านเหนือน้ำ ให้สูงไว้ก่อน พร้อมทั้งให้รถขุด (BACK-HOE) ใช้บุ้งกี๋ตักดินของลาด ด้านเหนือน้ำให้ผิวหน้า ของดินเรียบเป็นป้องกันคลื่นน้ำเซาะดิน (โดยเวลาเร่งด่วนไม่สามารถขนย้ายวัสดุ Bedding และหินใหญ่มาปูเรียงด้านหน้าทำนบได้ทัน) การถมบดอัดแน่นดินในภาวะวิกฤตโดยขนย้ายดินจากบ่อยืมดินด้านท้ายน้ำมายังตัวทำนบดิน โดยถมบดอัดแน่นด้านหน้าให้สูงขึ้น โดยกำหนดสมมุติฐานในการพิจารณาด้านวิศวกรรมในสนามอย่าง ง่ายเป็นสัดส่วนของ TOP OF FLOWLINE ใช้ ๑ ต่อ ๖ ไม่ให้น้อยกว่านี้ คือไม่ให้หลุด จากฐานเนื้อดินที่บดอัดแน่น ๙๕%STANDARD COMPACTION TEST ตามหลักจะต้องใช้การคำนวณทางด้านวิศวกรรมอย่างละเอียด ทั้งนี้กลุ่มงานก่อสร้าง ๒/๑/๐๕ ได้ปรึกษา หารือกับ กข.อบ. (นายสมเกียรติ ตั้งจตุพร โดยตลอด) ระดับน้ำด้านเหนือน้ำยกตัวขึ้นสูงสุดที่ระดับ +๑๙๕.๑๐๐ เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๐ และทรงตัวอยู่ระดับเดิมจนถึงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๐ จากนั้นจึงเริ่มลดลง พร้อมระบายน้ำ ออกทางอาคารระบายน้ำล้น (SPILLWAY) ตัวทำนบดินของอ่างเก็บน้ำลำพันชาด จึงปลอดภัย จากนั้นเมื่อฝนหยุดตก และสภาพอากาศกลับคืนสู่ภาวะปกติ กลุ่มงานก่อสร้าง ๒/๑/๐๕ จึงรื้อดินที่ถม ด้านเหนือน้ำออกจนถึงสภาพดินที่ถมบดอัดแน่นเดิมที่มีโครงสร้างดี ที่ได้ทำการทดสอบความแน่นตาม มาตรฐานไว้แล้วเริ่มทำการก่อสร้างทำนบดินต่อจนถึงระดับสันทำนบดิน +๑๙๘.๕๐๐ จนแล้วเสร็จ
สรุปบทเรียนการทำงานเขื่อนดินในภาวะวิกฤตสรุปบทเรียนการทำงานเขื่อนดินในภาวะวิกฤต 1. ควรศึกษาสภาพพื้นที่ภูมิประเทศ และภูมิอากาศก่อนการดำเนินการก่อสร้าง 2. ควรศึกษาและวางแผนด้านปัจจัยภายในและภายนอก 3. ควรวางแผนตามบริบท องค์ประกอบและปัจจัยต่างๆ 4. การทำงานควรทำงานเป็นทีมและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5. ควรประเมินสถานการณ์ทุกระยะของการทำงาน 6. ควรให้ความสนใจการบริหารจัดการด้านงบประมาณ, บุคลากร, วัสดุ และเครื่องจักรเครื่องมือ
สิ้นสุดการนำเสนอ ขอขอบคุณ ผู้เรียบเรียง นายมาโนช ศัพทะนาวิน หัวหน้ากลุ่มงานก่อสร้าง ๒/๑/๐๕